วันที่ 16 สิงหาคม 2553 สำนักงานเขตการศึกษาสมุทรปราการได้เชิญผมไปบรรยายให้ผู้บริหารการศึกษาระดับรองผู้อำนวยการของโรงเรียนในจังหวัดสมุทรปราการในหัวข้อ "ความท้าทายของการบริหารการศึกษาในอนาคต" ณ โรงแรมแกรนด์อินคำ จังหวัดสมุทรปราการ และท่านรองผู้อำนวยการที่มาเข้าโครงการในครั้งนี้ทุกท่านมีความใฝ่รู้อยากเรียนรู้ทุกท่าน ซึ่งผมมาบรรยายเป็นครั้งที่ 2 แล้วซึ่งครั้งแรกผมบรรยายให้ระดับผู้อำนวยการของโรงเรียนในจังหวัดสมุทรปราการ
เอกสารประกอบการบรรยายของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
“ความท้าทายของการบริหารการศึกษาในอนาคต”
Quotations
'To raise new questions, new problems, to regard old problems from a new angle requires creative imagination and makes real advances'
Albert Einstein
'The gap between vision and current reality is also a source of energy. If there were no gap, there would be no need for any action to move towards the vision. We call this gap creative tension.'
Peter Senge
'Schools should be a mirror of a future society.'
Anonymous
'If we do not change our direction, we are likely to end up where we are headed.'
Chinese Proverb
ความเป็นมา
ผมขอขอบคุณสำนักงานเขตการศึกษาสมุทรปราการ ที่ให้เกียรติ เชิญผมบรรยายแก่ผู้บริหารสถานศึกษา (ผู้อำนวยการ) หัวข้อ "การสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม" เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดกิจกรรมต่อเนื่องในวันนี้ คือ การพัฒนาบุคลากรระดับรองผู้อำนวยการ เพื่อให้มองเห็นภาพเดียวกัน และทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
วัตถุประสงค์หลัก
โลกและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคต่าง ๆ ถึงปัจจุบัน
จากยุคที่ 1 ยุคเกษตรกรรม สู่ยุคอุตสาหกรรม สู่ยุค Information Technology ปัจจุบันเรากำลังก้าวสู่ยุคที่ 4 หรือ Forth Wave ซึ่งในอนาคตเราจะต้องเน้น
การบริหารการศึกษาในวันนี้ ..เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจภาพใหญ่ของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และบทบาทของระบบการศึกษาไทย ผมขอเสนอทฤษฎี HR Architecture
ผมคิดว่าปัจจัยที่ท้าทายของการบริหารการศึกษาในวันนี้..ขอยกเพียง 3 เรื่องใหญ่และสำคัญเพื่อการทำงานในระดับองค์กร (Micro) คือ
สำหรับความท้าทายเรื่องการพัฒนาวิธีการเรียนการสอนให้เด็กไทยคิดเป็น..วิเคราะห์เป็น คิดเป็นวิทยาศาสตร์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดเชิงนวัตกรรม มีคุณธรรมจริยธรรมและมีจิตสาธารณะ ผมขอเสนอแนวคิดดังต่อไปนี้
4 L’s
2 R’s
2 i’s
กฎของ Peter Senge
อยู่ในหนังสือ Rethinking the Future
g Personal Mastery รู้อะไร รู้ให้จริง
g Mental Models มีแบบอย่างทางความคิด
g Shared Vision มีเป้าหมายร่วมกัน
g Team Learning เรียนรู้เป็นทีม ช่วยเหลือกัน
g System Thinking มีระบบการคิด มีเหตุมีผล
สำหรับความท้ายทายเรื่องการสร้างและบริหารเครือข่ายและแนวร่วม (Networking) เพื่อสร้างพลัง สร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการศึกษา
ผมคิดว่าเราจะต้องวิเคราะห์สิ่งต่อไปนี้
การสร้างเครือข่าย
ใครคือ Stakeholders ของเรา?
การจะสร้างเครือข่ายที่ดี
- ต้องเป็นคนที่ชอบคบหาสมาคมกับคน
หลายๆ กลุ่ม
- มีโลกทัศน์ที่พร้อมจะเรียนรู้ และรับฟังความ
คิดเห็นของคนอื่น
- มีโลกทัศน์ที่กว้าง
- มีบุคลิกที่เข้ากับคนได้ง่าย
- เตรียมตัวศึกษาบุคคลที่เราอยากจะรู้จัก เช่น
ศึกษาจุดอ่อน จุดแข็ง วิถีชีวิตของเขา
มีการติดตาม (Follow up) การสร้าง
เครือข่ายให้ได้ผลสูงสุด
- เมื่อวัยเด็กผมอาจจะชอบการทำงานเป็นทีม
และชอบทำกิจกรรม และเล่นกีฬา
- ไม่ชอบอยู่คนเดียว หรือใช้ชีวิตสันโดษ
- มีทัศนคติที่เป็นบวก (Positive Thinking)
- ชอบความหลากหลายในความคิด
และวิถีชีวิตต่างๆ
แต่การมีบุคลิก หรือโลกทัศน์ที่กว้างอย่างเดียวก็ไม่พอ จะต้องสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึก โดยเน้นหลักการ 3 เรื่อง การจะคบกับใครอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ระยะสั้นความสัมพันธ์ที่ดีจะต้องเกิดจากความสุข และ
ความสบายใจที่คบหากัน (Comfort Level) และค่อยๆไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน
ต้องเน้น Trust ความไว้เนื้อเชื่อใจ ต้องยอมรับ และนับถือในบุคคลเหล่านี้ (Respect) ไม่ได้มองจากบุคคลเหล่านั้นแค่ภายนอก หรือวัตถุ
และน่าจะเน้นความแตกต่างกันทางความรู้ หรือทักษะ และศักยภาพ เพื่อสร้าง Synergy ให้ได้จริงๆ
พันธมิตรมักจะเกิดหลังจากมี Network แล้ว ซึ่งหมายความว่า เราจะเน้น Win/ Win ซึ่งถ้าเราสามารถทำได้ เราก็จะสร้าง Synergy ให้กว้างไกลขึ้น
- วันนี้ น่าจะได้สำรวจตัวเราเองว่า เราอยู่ตรงไหน เห็นความสำคัญของ Networking ฟังเหตุผล และนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นกรณีศึกษา
Networking and Partnership เป็นทุนที่ทุกคนมีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่า เขาจะใช้หรือเปล่า และใช้แล้วได้ผลหรือไม่ เพราะไม่ใช่เฉพาะในระดับประเทศ
ถ้าจะพูดไป การสร้าง Network วันนี้ มีเรื่อง Networking ไร้พรมแดนด้วย ผมเชื่อว่าทุกๆ คน ในห้องนี้ ฝึกได้ และนำไปใช้ได้ เพียงแต่ขอให้ทุกท่านปรับทัศนคติให้ดี
และความท้าทายเรื่องการบริหารจัดการ (Management) โดยเน้นการสร้างแรงจูงใจ+แรงบันดาลใจให้บุคลากรทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ผมขอเสนอ
ทฤษฎี 3 วงกลม
เพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ดู contextในองค์กรว่าเอื้ออำนวยหรือเปล่า
- จะเอา IT มาใช้
- ระบบองค์กรที่คล่องตัว
- process ของงาน
- การนำ data และ knowledge มาสร้างมูลค่าเพิ่ม
มองดูคุณภาพจาก gap analysisว่ามี skills และ competencies อะไรและขาดอะไร แล้วพยายามลดช่องว่าง Competencies ที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้น ประกอบด้วย 5 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย
5. Macro and Global Competency
1.รู้ทันเหตุการณ์ว่าอะไรกำลังดำเนินอยู่ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก
2. แสวงหาโอกาส และหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
ผมว่าคนไทยยังไม่มี...
ü การแสวงหาความรู้ (Learning Culture )
ü เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ü ภาวะผู้นำ
ü การมองโลกทัศน์ที่กว้างและกำหนดวิสัยทัศน์ที่ดี
ü Innovation
ü การบริหารเวลา (Time Management)
ü Creativity
ü การมีทัศนคติเป็นบวก (Positive Thinking)
ü ทำงานเป็นทีม
ü การบริหารความรู้ (Knowledge Management)
ü Change management
ü การกระจายอำนาจให้ได้ผล
ü ความสามารถในการตัดสินใจ
ü ความสามารถในการรับฟังและยอมรับความจริง
8 K’s : ทฤษฎีทุน 8 ประเภทพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
5 K’s (ใหม่) : ทฤษฎีทุนใหม่ 5 ประการ เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์
Creativity Capital ทุนแห่งการสร้างสรรค์
Knowledge Capital ทุนทางความรู้
Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม
Emotional Capital ทุนทางอารมณ์
Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม
จะทำอย่างไร ให้การ motivation มีประสิทธิภาพ และเกิดผลจริงกับงาน
MOTIVATION
โครงสร้างเงินเดือน
- การมีส่วนร่วม
- การทำงานที่ท้าทาย
- การทำงานเป็นทีม
- การให้รางวัลพิเศษ
- การไปเพิ่มพูนความรู้
- ค่าตอบแทนที่เป็นไปได้ เช่น โบนัส
- วัฒนธรรมองค์กร
- การประเมินผลอย่างโปร่งใส
- ความเป็นธรรม
-Style การบริหาร
- สภาพแวดล้อมในการทำงาน
- Empowerment
- อื่นๆ
นอกจากทฤษฎี 3 วงกลมแล้ว เพิ่มขอเติมประเด็นที่อาจจะสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรของคนไทย ที่จะมองข้างในของมนุษย์มากกว่าข้างนอกที่ใช้ได้ผลในหลายวงการ คือ ทฤษฎี HRDS
ทฤษฎี HRDS
3 Laws of Performance
สำหรับการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ของ การบริหารการศึกษาในวันนี้
How = 20%
Why = 30%
the greatest challenge is execution (50%)
Make it happen!!