เมื่อวานนี้ (12 สิงหาคม 2553) เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือที่เราคนไทยส่วนใหญ่เรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่แห่งชาติ" ภาครัฐระดับจังหวัดทุกแห่ง หน่วยงาน และ อปท.บางแห่ง จัดให้มีการทำบุญตามประเพณีในภาคเช้า และมีงานพิธีการแสดงความจงรักภักดีทั้งภาคเช้าและภาคเย็น เรื่องราวที่ดำเนินไปเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
วันนี้ (13 สิงหาคม 2553) เมื่อเข้าไปอ่านเนื้อหาหนังสือพิมพ์ดอทคอม เพราะอยากใช้เวลาที่ไม่นานนักในการติดตามข่าวสารของสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ต่าง ๆ พบกับบล๊อกของคุณศณีรา ที่เขียนบนเวบเนชั่น "เพลงนี้ผมฟังทีไร..น้ำตาไหลทุกที" http://www.norsorpor.com/go2.php?t=m&u=http%3A%2F%2Fwww.oknation.net%2Fblog%2Flocalbetong%2F2010%2F08%2F12%2Fentry-1 เมื่อคลิกเข้าไปตามดูรายละเอียด และเลือกให้เล่นเพลง "แม่" ของวงแฮมเมอร์ แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับเจ้าของบล๊อก ครับ ประมาณช่วงปี 2523 - 2524 ขณะนั้นเพลงนี้ทำให้นิสิต นักศึกษาหลายคน ต้องนึกทบทวนบทบาทของตัวเองกับสังคม กับครอบครัว เพื่อหาทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
ได้ฟังท่วงทำนองของเสียงกีตาร์ใส ๆ พร้อมเครื่องดนตรีอื่น และเนื้อเพลงที่กระแทกความรู้สึกของ "ลูก" ทุกคน ที่วงแฮมเมอร์นำเสนอแล้ว อยากกลับไปหาแม่ที่ต่างจังหวัดทันทีครับ (ปีนี้คงกลับไปหาไม่ได้แล้ว เพราะมีข้อจำกัดหลาย ๆ เรื่อง)
ในชีวิตการเรียนตั้งแต่เด็ก ๆ จนเลยผ่านระดับอุดมศึกษา มีครูหลายท่านที่พร่ำสอนให้เด็กนักเรียน นักศึกษาทุกคน กตัญญู รู้บุญคุณของพ่อและแม่ ณ วันเวลาเหล่านั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่จะแค่รู้เพราะ "ฟัง" หรือ "อ่าน" เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครสักคนที่ "เข้าใจ" อย่างแท้จริงว่า พ่อและแม่มีบุญคุณอย่างไร ต้องรอจนถึงวันที่ตัวเองมีครอบครัว และมีลูก ทั้งฝ่ายหญิงที่ต้องเป็นแม่อีกคน และฝ่ายชายที่ต้องเป็นพ่อคนใหม่ วันที่ลุกคลอดออกมานั้นแหละ จึงจะรู้ซึ้ง ตระหนักและเข้าใจอย่างแท้จริงว่า บุญคุณพ่อแม่ยิ่งใหญ่ไพศาลแค่ไหน ทุกคนคาดหวังเพียงให้ลูกที่คลอดออกมามีอาการครบ 32 จะเป็นหญิง เป็นชาย อย่างไรก็ได้ ขออย่าให้พิการเป็นพอ หลังจากนั้นกระบวนการเลี้ยงดูจึงเกิดตามมา ตั้งแต่เท้า (ตีน) เท่าฝาหอย จนเติบใหญ่ผ่านช่วงวัยต่าง ๆ ในขณะที่ผู้เป็นพ่อแม่พกพาความชราภาพเพิ่มขึ้น
เพลงแม่ที่ผมนำมาฝากวันนี้ ผ่านการฟังซ้ำวนหลายรอบ เพราะอยากให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดแม่ ทำสิ่งดี ๆ ให้แม่ของตนเองมากขึ้น ผู้คนรอบข้างที่เป็นคนอื่น จะอย่างไรเขาแค่มารู้จักเราในช่วงที่เราเติบโตและจำความได้ แต่คนที่ยังเห็นเราเป็นลูกตลอดไป คือ แม่่ของทุกคน ครับ
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้เพื่อแม่ และส่งเสริมให้ทำดีเพื่อแม่
เพื่อความมั่นคงและมีความสุขของชีวิต
โลกสดใสชีวิตคนมีควาสุข อบอุ่น
และมีความหวังเพราะมีแม่
เพลงแม่ของแฮมเมอร์นั้น ลึกซึ้งและทันสมัยเสมอครับ
ขอบคุณ ครูต้อยติ่ง และ ครูหยุย ครับ
ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
หลังจากที่ดิฉันได้สูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่รักของทุกคนไปเมื่อวันที่ 14 มกราคม 53 ดิฉันแอบเห็นคุณแม่ท่านร้องไห้สะอึกสะอื้นแอบอยู่ข้างเมรุเผาศพคุณพ่อในตอนเช้ามืดของวันที่จะเผาศพของคุณพ่อ ดิฉันรู้ว่าท่านแอบร้องไห้เพราะไม่ต้องการให้ลูกๆและหลานๆเห็น แต่ดิฉันเห็นท่านค่ะดิฉันบอกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่ามีความรู้สึกอย่างไรมันบอกไม่ถูกจริงๆแต่คิดได้อย่างเดียวว่าดิฉันต้องทำหน้าที่ดูแลและรักษาเยียวยาสภาพจิตใจของท่านให้มากที่สุด หลังจากเผาศพคุณพ่อ คุณแม่ก็กลายเป็นคนอ่อนแอไปอย่างเห็นได้ชัดท่านป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ร้องไห้คิดถึงคุณพ่อทุกวัน เช่นเดียวกันกับดิฉันซึ่งทำงานอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ก็คิดถึงคุณพ่อทุกวันทุกคืนคิดถึงท่านตลอดเวลา ดิฉันเริ่มมีความเข้าใจกับคำว่าสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง ก็ตอนนี้เองยิ่งทำให้ดิฉันกังวลและเป็นห่วงคุณแม่มากที่สุด หลังจากทำบุญครบ 100 วันของคุณพ่อดิฉันได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง คือคุณแม่ล้มจนเดินไม่ได้เพราะกระดูกสันหลังทรุด ดิฉันเครียดหนักเพราะทำงานอยู่ไกลมากจึงได้บันทึกขอไปช่วยราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อดูแลคุณแม่ ผอ.รร.ท่านมีเมตตาอนุญาตให้ดิฉันไปช่วยราชการได้โดยจัดครูลงสอนแทนให้ ดิฉันได้รับความเมตตาจากหลายๆท่านในระดับเขตพื้นที่ และท่านเลขาฯสพฐ.ได้อนุมัติให้ดิฉันไปช่วยราชการ สอนอยู่ที่รร.ใกล้บ้านและเป็น รร.ที่ดิฉันเคยเรียนตอนอยู่ชั้นประถม1-4 มาก่อน อีกทั้งคุณพ่อของดิฉันท่านก็เคยเป็นครูใหญ่ที่รร.แห่งนี้อีกด้วย ดิฉันเห็นคุณแม่ท่านยิ้ม ท่านหัวเราะ ซึ่งดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนหลังจากที่ท่านสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของท่านไป และตอนนี้เป็นข่าวดีว่าท่านสามารถลุกขึ้นนั่งและเดินในระยะใกล้ๆภายในบ้านได้แล้วค่ะ และดิฉันก็มีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ลูกค่ะ ดิฉันคิดว่าจะดูแลท่านจนถึงวินาทีสุดท้ายและจะทำทุกอย่างแทนคุณพ่อค่ะ คุณแม่บอกกับดิฉันว่าท่านได้บอกกับคุณพ่อทุกวันว่าขอให้ช่วยลูกให้ได้กลับมาทำงานใกล้บ้าน ตอนนี้ท่านสมหวังในระดับหนึ่งแล้วท่านมีความสุขสดใสขึ้น เพราะลูกๆอยู่กันพร้อมหน้า ดิฉันซึ่งเป็นลูกที่อยู่ไกลมากก็ได้กลับมาอยู่ใกล้ๆมาดูแลท่าน ดิฉันรักคุณแม่มากค่ะ ดิฉันมีลูกสาว 2 คนทั้ง 2 คนมีคุณยายเป็นคนเลี้ยงให้ตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 3 ขวบ ดิฉันขอบอกตรงๆว่าดิฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นเลยอุ้มไม่คล่องอาบน้ำให้ลูกไม่ก็เป็นเลยค่ะเพราะคุณแม่กลัวว่าจะทำลูกจมน้ำท่านก็เลยไม่ให้ทำ เมื่อลูกๆถึงวัยเข้าเรียนชั้นอนุบาล ดิฉันกับสามีจึงไปรับจากจ.สุราษฎร์ธานีเพื่อมาเข้าเรียนที่จ.กำแพงเพชร จนปัจจุบันนี้ลูกสาวคนเล็กของดิฉันเข้าเรียนที่ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ชั้นปีที่1 ทุกคนเป็นห่วงคุณยายและดีใจที่คุณยายมีความสุขและเริ่มเดินได้ ดิฉันขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลคุณแม่ให้ท่านมีความสุขมากๆนะคะ อย่าลืมว่ามงคลชีวิตสูงสุดของลูกคือการได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่จงทำทุกอย่างให้ท่านมีความสุขมากที่สุด เราก็จะมีความสุขสมหวังด้วยกันตลอดไป ดิฉันเริ่มออกเดินทางจาก จ.กำแพงเพชร เพื่อกลับไปดูแลคุณแม่ในวันที่ 12 สิงหาคม 2553 โดยมีสามีเป็นคนขับรถไปส่งค่ะ
ครูเบญจา ครับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราว" พระคุณแม่" ที่เสริม เพิ่มเติมให้บล๊อกนี้มีความหลายหลายทางความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น ครูคงไม่ลืมที่จะพาแม่ไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ที่แม่เคยพาครูไปเที่ยวเมื่อครั้งเด็ก ๆ นะครับ ถึงวันนั้นครูคงเห็นรอยยิ้มด้วยความสุขจากแม่ (มีโฆษณาเกี่ยวกับการพาพ่อ แม่ เที่ยว ของสำนักงาน ททท. ทางโทรทัศน์ครับ)
และไม่อยากให้ท่านผู้สูงวัยหลาย ๆ คน เป็นดั่งเช่นชีวิตของป้าบางคน ที่ "ชีวิตที่เหลืออยู่ของหญิงคนหนึ่ง" http://gotoknow.org/blog/middle-man/400811 และเรื่องราวของคุณลุงอีกคนในช่วงท้าย ๆ ครับ