ศ.นพ.สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล ค่ะ มาจุดประกายความคิดในเรื่อง ระบบการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย
มุมมองต่อเรื่อง ผู้สูงอายุ
คำว่า Long Term Care (LTC) หรือการดูแลระยะยาว คืออะไร
... นิยาม กับการทำงานไม่สอดคล้องกันเยอะ
เราต้องมองว่า เราทำ LTC ให้ใคร ... คำถามที่ 1
คำถามที่ 2 คือ ... ใครจะต้อง care หรือดูแล
กลุ่มหนึ่งบอกว่า คนที่ต้องดูแลเขาก็คือ คนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คนที่ต้องพึ่งพา ... นี่มาจาก original ของต่างประเทศ
โดยข้อเท็จจริง เวลามองนโยบาย หรือผู้ปฏิบัติ พบว่า มันไม่ได้แบ่งกันง่ายๆ ... ข้อเท็จจริงคือ มันมีช่วงเปลี่ยนผ่านเสมอ ในบ้านเราเริ่มมีคนมองว่า คำว่า LTC ถ้าจะให้เหมาะกับบ้านเรา คือ มองไปที่ คนสูงอายุที่ยังช่วยตัวเองได้ด้วยหรือไม่ ... เป็นมุมมองใหม่ ... แต่ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ดีทั้งนั้น เพราะว่า เราต้องการให้ คนสูงอายุได้สิ่งที่สมควรได้ ดีที่สุด
อันที่สอง ใครต้องดูแล
จริงๆ คนสูงอายุบ้านเรา ในปัจจุบัน และอนาคต ต้องการอะไร อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการมากกว่า และเราจะเตรียมอะไร เพื่อตอบสนองความต้องการของเขา
คนที่มองว่า LTC ระยะยาว เป็นเรื่องของผู้สูงอายุทั้งหมดเลย ไม่ใช่คนที่ต้องพึ่งพา ไม่ได้เป็นเฉพาะคนทำให้ แต่เป็นเรื่องของ ตัวเองดูแลตัวเอง การมองนี้จะมองไกลไปถึงชุมชน ถึงในครอบครัว ว่า ต้องทำอย่างไร เขาถึงจะอยู่ได้
มันมีปัญหา และจะเกิดอะไรขึ้น กระแสเริ่มเปลี่ยน
กรมอนามัยดูเรื่องส่งเสริมป้องกัน มาต่อเรื่องผู้สูงอายุก็จะเริ่มมอง
ความไม่แน่นอนทำให้มีระบบขึ้นมารองรับ เช่น
หน่วยงานต่างๆ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือใครก็ตามมีทางออกอะไรได้บ้าง
ภาพนี้แยกเป็น 2 ส่วน บนคือชุมชน ล่างคือ สถาบัน (บ้าน บ้านพักคนชรา หรืออื่นๆ) ช่องทางซ้ายมือ คือ Social care การดูแลด้านสังคม ช่องตรงกลาง คือ Nursing care ช่องถัดไป Complex care คือ การดูแลซับซ้อน
Nursing care คือ ทำแผล ให้ความรู้
Complex care คือ Not just nurse ... ในที่นี้ คือ พยาบาล และสหาย (ผู้ช่วย บุคลากรอื่นๆ) แปลว่า เขาต้องการการดูแลที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น กายภาพบำบัด หมอฟัน หมอ เข้าไปช่วยกันดู ซับซ้อนขึ้น
เขาบอกว่า ให้ดูผู้สูงอายุเป็นช่วงวัย ดูแลตัวเองได้หมด ดูแลได้บ้าง ดูแลไม่ได้ บางคนเอาอายุมาแบ่ง Young-old, Old-old, Mid-old เวลาคนพูดถึง solution เขาแยกที่ ความต้องการ (Need) ง่ายและชัดกว่า เพราะว่าผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้บ้าง อาจจะอยู่ที่ Social care เพราะว่า พอเดินได้ แต่เขาไม่ได้ต้องการให้มี Nursing care ที่บ้าน มุมมองจะต่างกัน อันหนึ่งมองผู้รับ อันหนึ่งมองบริการที่เราต้องจัดให้เขา หรือต้องไปส่งเสริม หรือสร้างให้เกิด
ภาพนี้ เราจะรู้สึกว่า Community ขนาดเท่ากับสถาบัน หรือ Social care และ Complex care ไม่เท่ากัน เมื่อเราเข้าไปดู เราประเมิน Self care ว่าเขาดูแลตัวเองได้แค่ไหน เขาเคลื่อนที่ได้หรือไม่ เขาเคลื่อนที่ด้วยตัวเองได้หรือไม่ เขาต้องใช้อุปกรณ์หรือเปล่า ... เหล่านี้มีความหมายในเรื่องของการจัด Service ให้ สามารถจะอยู่คนเดียวในชุมชนได้หรือไม่ หรือสามารถอยู่ที่บ้านคนเดียวได้หรือไม่ มีผลว่า เราจะจัดหน่วยงานช่วยเขาได้อย่างไร
เขามีความเสี่ยงไหม ที่จะโดนทารุณกรรม ถูกทอดทิ้ง เรื่องสมองเสื่อม ความไม่ปลอดภัยที่บ้าน เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย สภาพไม่เหมาะสม ยากจนหรือไม่ หรือไม่มีบ้านให้อยู่
มี 4 ประเภท ที่เราจะไปประเมินว่า เขาต้องการความช่วยเหลือ หรือบริการอะไรบ้าง ซึ่งไม่เท่ากัน อะไรที่บอกว่าต้องการบริการทาง social เยอะ ส่วนทางด้าน complex care จำนวนไม่เยอะ แต่ความทุกข์ทางด้าน complex care มหาศาล ทางด้าน Social care น้อย แปลว่า ผู้สูงอายุไม่มีชมรมผู้สูงอายุ ก็ไม่เดือดร้อน ไม่ตาย ไม่ลำบาก ไปวัดก็ได้ แต่คนที่นอนแบบ แล้วลูกดูไม่ไหว เดือดร้อนมหาศาล ทั้งตัวเอง และลูก ของบางอย่าง จำนวนมากแต่ผลกระทบไม่เยอะ ของบางอย่างจำนวนน้อย ผลกระทบมหาศาล ... ผมไม่ได้บอกว่า ชมรมผู้สูงอายุไม่สำคัญนะครับ
เวลาพูดถึง Social care ที่เป็นสถานบริการ เราพูดถึงบ้านพักคนชรา แบบอื่นๆ ที่เยอะที่สุดคือ วัด เป็น residential home อีกหลายที่ที่ซ่อนเร้นอยู่ที่เรายังมองไม่เห็น
ทางฝั่งชุมชน มี home care มาช่วยดูแลบ้าน หรือระบบอาสาสมัคร เบอร์ 1 คือ Social care มีคนมาเยี่ยม ดีใจ ไปช่วยดูแลบ้านช่อง พาไปตลาด พาไปโรงพยาบาล เป็น Volunteer ทั้งนั้น
Health care เป็นสิ่งที่เขาต้องรู้เรื่องสุขภาพ เขาต้องไปบอกกันต่อ ช่วยกันดู แต่เขาก็ไปเป็นพยาบาลไม่ได้ ต้องแยกให้ออก ... Volunteer ส่วนใหญ่จึงเป็น Social care
Home care คือ ลักษณะของกิจกรรมที่ไปทำให้
ส่วน Volunteer หรือ คนที่จ้างมา ก็คือ ที่มาของผู้ให้บริการ
ในชุมชน ท้องถิ่น อบต. เป็นหัวใจ เพราะว่า อบต. ทำ care giver ก็ได้ อบต. จ่ายเอง จ้างงานในชุมชน
ที่จริงเราต้องการ Home nursing service คือ การไปดูแลที่บ้าน อบต. ทำได้ เพียงแต่ขอความร่วมมือจากสาธารณสุข ทำกัน เสริมกันไป
Complex care ต้องมีการดูแลพิเศษ ติดตามเฉพาะ ฟื้นฟูสภาพ ถ้าในสถานบริการ ต้องเปิดเฉพาะ หมอเข้าไปดูได้ทุกวัน เป็น Long stay
ถ้าชุมชนทำ Community service ต้องการคนไป support เยอะ ต้องตั้งระบบ
ซ้ายมือข้างบน องค์กรปกติทำได้เลย อันที่สองยากขึ้น แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำได้ แข่งกันได้ เป็นแบบ dynamic ช่วยกันทำ อันที่สาม อปท. อย่าทำ เจ๊ง ต้องให้กระทรวงทำ ... ข้างล่าง ส่วนกลางต้องคิด
Social care ถ้ามองที่คนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดี คือ ชมรมผู้สูงอายุ สภากาแฟ ถ้าเรามองเพื่อการขยายต่อไป
ตรงกลาง ผมไม่อยากให้มี Nursing home เยอะๆ เพราะว่าไม่ไหว Long stay ไม่เกิดเลยก็จะดี จึงมี buffer ที่เกิดระหว่างสถานบริการ กับชุมชน ก็คือ Day care อยู่ที่ไหนก็ได้ จะเป็นโรงพยาบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่วัดก็ได้ แปลว่า ลูกต้องทำงาน กลางวันเอามาฝากโรงพยาบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใจกว้าง เอารถไปรับ ยิ่งกว่านั้น ไปดูที่บ้านก็ทำได้ หรือ Volunteer ผลัดกันไป day care ที่บ้านก็ได้
Respite care เหมือนกับดูแล ช่วยกัน แต่ต่างที่ต้องมาฝากไว้ค้างคืน
Day Hospital คือ ต้องการคนดูมากขึ้น แต่มาไว้ กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลดูให้
Intermediate care เป็น buffer อีกตัวหนึ่งที่อาจจะดูดีกว่าไปโรงพยาบาล แต่แย่กว่าที่บ้าน เราจะมีหอพิเศษ เพื่อพักฟื้น ว่าลูกหลานดูแลไหว ปรับตัวทัน
ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำได้แน่ๆ คือ Day care ... สิ่งที่จำเป็นมาก คือ เราต้องมี Nursing home แน่ๆ ของภาครัฐ ... เราทำ Social care / Day care ได้ก่อนเลย
ผมดีใจกับการทำโครงการ และมีอาสาสมัคร เป็นหัวใจเบื้องต้น และเราต้องกำหนดขอบเขตให้ชัด เราต้องสร้างระบบรองรับ ระบบที่จะเป็นประตู การให้เงิน Subsidized ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน ค่าบริการจะได้ลดลง เป็นหลักคิด และก็ต้องทำมาตรฐานด้วย
Non profit group ที่ใหญ่ที่สุด คือ วัด ความสามารถทำอย่างไรที่ทำให้ท่าน เจ้าอาวาส เห็นโอกาสที่จะทำ แต่ต้องไม่ลืมว่า วัดทำเป็นแบบ professional ไม่ได้ วัดไม่ควรทำโนรงพยาบาล แต่วัดส่งเสริม Social care / Nursing care ได้ วัดควรหลีกเลี่ยงเป็น Nursing home
และที่เราทำได้ คือ จัดประกวดทุกปี ส่งทีมงานไปศึกษาว่า Work ได้อย่างไร ทำอย่างไรให้มันอยู่ได้อย่างยั่งยืน
น่าสนใจครับ เพราะ เป็นผู้เฒ่าแล้วครับ
สวัสดีค่ะ
มาเรียนรู้ค่ะ เพราะเข้าสู่วัยผู้สูงอายุอีกคนแล้วค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
คุณหมอครับ...
เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่โตมาก ๆ ครับ
ผมกำลังชวนเพื่อน ๆ บางคนที่ตาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นให้ทำโครงการเพื่อรองรับปัญหานี้ในระดับตำบล
มีประสบการณ์การทำงานในระดับหมู่บ้าน/ตำบล ที่พอจะเป็นตัวอย่างให้เรียนรู้บ้างไหมครับ