มองผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 6
มองสื่อมองนักวิชาการ
ผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 6 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2553 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ จากพรรคประชาธิปัตย์กับนายก่อแก้ว พิกุลทองจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งว่ากันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ “ไม่ธรรมดา” เพราะถือว่าเป็นการวัดใจคนกรุงว่าระหว่างฝั่งรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยซึ่งมีความแนบแน่นกับคนเสื้อแดงอย่างแยกไม่ออก คนกรุงจะเลือกใคร เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง 2 เดือน เพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของเหล่า นปช. หรือคนเสื้อแดง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ฝั่งรัฐบาลถูกคนเสื้อแดงและสื่อส่วนใหญ่ (บางสื่อ) โจมตีว่าการสลายการชุมนุมของรํฐบาลทำให้ประชาชนบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก สื่อและคนเสื้อแดงทำให้รัฐบาลกลายเป็นคนบาปในสายตาของประชาชน ในขณะที่ทางฝ่ายเสื้อแดงเองที่ก่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากในสายตาประชาชนทั่วไปเช่นกัน นั่นคือหลังจากแกนนำเสื้อแดงประกาศยกเลิกการชุมนุมและเข้ามอบตัวกับตำรวจภายหลังจากวิกฤติการสลายการชุมนุม ก็มีคนเสื้อแดงบางส่วนที่อ้างว่าตกใจและไม่พอใจการตัดสินใจของแกนนำ ได้ออกไปทุบทำลายและเผาสถานที่ราชการและห้างร้านหลายแห่ง เหมือนกับว่าบ้านนี้เมืองนี้ไม่ใช่ของตน สร้างความเสียหายหนักเพิ่มขึ้นอีก หลังจากที่การชุมนุมที่เกิดก่อนหน้านั้นทำลายระบบเศรษฐกิจแถวราชประสงค์ การท่องเที่ยวและระบบเศรษฐกิจของประเทศไปมากแล้ว
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อ 2 เดือนก่อนการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ยังคงฝังอยู่ในความรู้สึกของคนไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากที่สุดซึ่งจะสามารถนำไปสู่การตัดสินใจว่าระหว่างรัฐบาลสลายการชุมนุมทำให้มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายกับการที่คนเสื้อแดงออกมาทุบเผาทำลายบ้านเมือง อะไรที่ดูร้ายแรงในความรู้สึกของคนกรุงมากกว่ากัน หากคนกรุงตัดสินใจเลือกฝ่ายใดนั่นแสดงว่าอีกฝ่ายหนึ่งถูกคนกรุงมองว่าการกระทำของฝ่ายนั้นชั่วช้าและร้ายแรงกว่าอีกฝ่ายก็เป็นได้
ก่อนการเลือกตั้งสื่อแทบทุกแขนงออกมาวิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างมาก ส่วนใหญ่มองไม่ต่างกันว่าศึกการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีนัยสำคัญของการตัดสินใจเลือกข้างของคนกรุง ซึ่งที่ผ่านมาสนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานครเป็นสนามที่คาดเดาได้ยากที่สุด จนสื่อและนักวิชาการมองว่าคนกรุงเข้าใจยากกว่าคนต่างจังหวัด
สื่อใหญ่ๆบางสื่ออย่างหนังสือพิมพ์ยอดขายสูงสุดหรือหนังสือพิมพ์ที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ต่างพร้อมใจกันลงบทความเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งดังกล่าว ดดยมีเนื้อหาที่เน้นโจมตีรัฐบาลว่าอาสัยความได้เปรียบในฐานะที่รัฐบาลกุมอำนาจอยู่และยังเป็นการเลือกตั้งที่อยู่ในช่วงที่กรุงเทพมหานครยังอยู่ภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน ทำให้ผู้สมัครจากทางพรรคเพื่อไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกทั้งผู้สมัครของพรรคเพื่อไทนยังอยู่ในคุกเพราะติดคดีเนื่องมาจากเป็นแกนนำในการชุมนุมของคนเสื้อแดง จึงไม่มีโอกาสมาหาเสียงด้วยตัวเอง ทำให้สามารถทำได้แค่ส่งเสียงจากคุกมาออดอ้อนความเห็นใจและได้เพื่อนร่วมพรรคช่วยหาเสียงแทน สื่อหนังสือพิมพ์บางหัวถึงกับเขียนว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจพ่ายแพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะคนกรุงอาจเห็นใจและสงสารผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยที่โดนรัฐบาลใช้อำนาจทำให้ไม่สามารถหาเสียงได้เต็มที่จนทำให้คนกรุงตัดสินใจเทคะแนนเลือกนายก่อแก้วก็เป็นได้ ซึ่งไม่ต่างจากความคิดเห็นของนักวิชาการและคนบางคนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน
ก่อนการเลือกตั้งสื่อหรือนักวิชาการจะวิจารย์เกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างไร ไม่สำคัญเท่าที่ว่าผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2553 ที่ผ่านมาผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตธิ์ชนะการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ ซึ่งได้คะแนนสูงกว่านายก่อแก้วพิกุลทองจากพรรคเพื่อไทย 14705 คะแนน
คะแนนที่คนกรุงมอบให้นายพนิชคือ 96481 คะแนน ส่วนนายก่อแก้วคนกรุงลงให้ 81776 คะแนน
หลังจากผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ฝั่งรัฐบาลชนะพรรคเพื่อไทยฝั่งเสื้อแดง สื่อกลุ่มเดิมๆก็ลงบทความแทบจะในทันทีว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเหนือพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ขาดความขาวสะอาด เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบพรรคเพื่อไทยอยู่มาก ทั้งกรณีคง พรก.ฉุกเฉินและผู้สมัครพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในคุกทำให้ไม่สามารถดำเนินการหาเสียงได้เต็มที่ (อ้าว…ก็ไหนก่อนหน้านี้สื่อกลุ่มนี้บอกว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้คนกรุงจะสงสารและเห็นใจผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทนจนเทคะแนนสงสารให้ไง) ดังนั้นผลการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่สามารถวัดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าคนกรุงเลือกฝ่ายรัฐบาลหรือว่าเห็นชอบกับการที่รัฐบาลสลายการชุมนุมได้ (ก่อนหน้านี้สื่อบางเองแทบจะฟันธงว่าถ้าฝ่ายไหนชนะแสดงว่าคนกรุงเห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายนั้น) นอกจากสื่อจะมองว่าการเลือกตั้งยังไม่ชัดเจนว่าคนกรุงเห็นชอบกับรํฐบาลจริงแล้ว มื่อยังวิจารณ์ต่ออีกว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถึงพรรคประชาธิปัตย์จะชนะแต่…คะแนนยังไม่ถือว่าชนะขาดเพราะได้คะแนนมากกว่าพรรคเพื่อไทยแค่ 14705 คะแนนเท่านั้นทั้งๆที่ฝ่ายประชาธิปัตย์ได้เปรียบมากกว่าหลายขุม สื่อมองว่าถ้าหากไม่มี พรก.ฉุกเฉินและนายก่อแก้วสามารถออกมาหาเสียงด้วยตัวเองได้ ผลการเลือกตั้งอาจออกมาตรงข้ามก็เป็นได้
เอาล่ะ ทีนี้มาดูมุมมองของนักวิชาการกันบ้างดีกว่าครับ อาจารย์จรัส (ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 6 ไว้ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างไปจากสื่อกลุ่มข้างต้นว่าจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจนทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจใช้วิธีสลายการชุมนุมและทำให้เสื้อแดงออกมาเผาบ้านทำลายเมืองน่าจะทำให้คนกรุงเทพตื่นตัวทางการเมืองจนทำให้ออกมาลงคะแนนเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างผิดหูผิดตา แต่ข้อเท็จจริงคือคนกรุงเทพเขต 6 กลับมีจำนวนผู้มาลงคะแนนกันน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวที่อาจารย์จรัสได้ชี้ให้เห็นผมมองว่าน่าคิด เพราะแทนที่คนกรุงจะตื่นตัวมาเลือกตั้งแต่กลับกลายเป็นว่าจำนวนคนมาเลือกตั้งน้อยลงเป้นเพราะอะไร คนกรุงกำลังคิดอย่างไรกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมากับการเลือกตั้งในครั้งนี้ นอกจากนี้อาจารย์จรัสยังบอกด้วยว่าคนกรุงเทพไม่ได้ใช้อารมย์ในการตัดสินใจลงคะแนนเพราะไม่เช่นนั้นคงจะเห็นอกเห้นใจผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยและเทคะแนนความเห็นใจให้ไปแล้ว แต่ครั้งนี้คนกรุงเทพยังใช้เหตุผลในการเลือกตั้งมากขึ้นเพราะถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์จะมีเรื่องของการสลายชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตแต่คนกรุงคงเข้าใจถึงเจตนาดีของการจำเป็นต้องสลายการชุมนุม จึงได้เทคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์จนชนะพรรคเพื่อไทยได้ อีกทั้งอาจารยืกล่าวว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนทิ้งห่างคู่แข่งมากกว่าเดิม คือการเลือกตั้งเมื่อ 23 ธ.ค. 2550 นายทิวา เงินยวงจากพรรคประชาธิปัติย์ได้ 107058 คะแนน ส่วนนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ ได้ 102126 คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมากกว่า 4932 คะแนน คิดเป็นส่วนต่างระหว่างคะแนนของบุคคลทั้งสอง 2.36 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้นายพนิชจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ 96481 คะแนนเอาชนะนายก่อแก้ว พิกุลทองที่ได้ 81776 คะแนน ทิ้งห่างถึง 14705 คะแนนคิดเป็นส่วนต่างระหว่างคะแนนถึง 8.25 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แย่ลงกว่าเดิมเหมือนที่สื่อวิจารย์ไว้ ซึ่งผมเห็นว่าความเห็นของอาจารย์จรัสมีความน่าสนใจอย่างยิ่งครับ
ก็ว่ากันไปครับสำหรับมุมมองของสื่อและนักวิชาการสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งก่อนหน้าการเลือกตั้งและหลังประกาศผลการเลือกตั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นมาตลอดคือสื่อกลุ่มดังกล่าวมักจะเขียนในเชิงลบหรือตรงข้ามกับรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ตลอด และมักเขียนในแง่ที่จะก่อให้เกิดผลบวกหรือโน้มเอียงให้พรรคเพื่อไทยซะด้วยสิ
ผมเคยเขียนความคิดเห็นของตัวเองไปก่อนหน้าบ้างแล้วว่าหน้าที่ของสื่อคือรายงานข้อเท็จจริง อย่างสร้างสรรค์ในทางที่จะพัฒนาหรือสร้างประโยชน์แกบ้านเมืองมากกว่าที่จะทำให้การรายงานข่าวของตนทำให้เกิดความแตกแยกหรือสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งจะส่งผลต่อประเทศชาติด้วยเช่นกัน สื่อควรรายงานข่าวด้วยจรรยาบรรณและมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ อย่าลืมว่าสื่อมีอิทธิพลต่อคนเสพสื่อค่อนข้างมากโดยเฉพาะคนที่เชื่อว่าสื่อเขียนรายงานข่างที่เป็นความจริงโดยปราศจากการครอบงำจากผลประโยชน์จากนายทุนที่จ้างให้สื่อเขียนโดยการเป็นสปอนเซอร์ลงโฆษณาหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเข้าใจว่าไม่มีนายทุนลงโฆษณาสื่อเองก็ลำบาก แต่อยากขอว่าอย่าเห็นแก่เงินมากเกินไปจนลืมถึงแก่นแท้ของสื่อว่าคืออะไร อย่าให้นายทุนมาซื้อแม้กระทั่งเนื้อข่าวได้เลย เพราะท้ายที่สุดบ้านเมืองก็จะลำบาก เพราะนายทุนบางคนเขาไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนของบ้านนี้เมืองนี้ด้วยสิ ไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนสัญชาติเป็นอื่นหรือ
ส่วนของนักวิชาการเองผมขอให้ท่านทั้งหลายได้ช่วยกันชี้นำสังคม เพื่อช่วยกันหาทางออก มากกว่าที่จะมาแสดงความคิดเห็นที่ยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกของคนในประเทศ วิจารณ์รัฐบาลและฝ่านค้านอย่างรอบด้าน โดยปราศจากอคติ คำนำหน้าตำแหน่งของท่านไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ รวมทั้งดอกเตอร์ทั้งหลายนั้นหมายถึงความทรงภูมิ เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถที่ถูกคาดหวังจากประชาชนทั่วไปว่าท่านจะสามารถชี้นำแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและทางออกของปัญหาได้มาก่วาที่จะมาวิจารย์เพื่อความสะใจของตนเองหรือพูดว่ากล่าวฝ่ายหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ
บ้านเมืองต้องการนักวิชาการและสื่อที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนของใครคนใดคนหนึ่งครับ
ไม่มีความเห็น