ความคิดย้อนอดีต
ห้องสมุด : ห้องจองจำหนังสือ กล่าวกันว่ามีหนังสือนับล้านเล่มที่นำไปเก็บไว้ในห้องทึบ ๆ ที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์ รวมกับอุปกรณ์ทางการเกษตรของโรงเรียน เช่นจอบ เสียม บุ๋งกี่
ห้องสมุด : ห้องที่ต้องทำจำใจให้มี เพื่อให้ครบหัวข้อการประเมินโรงเรียน
ห้องสมุด : ห้องที่ถูกเมิน โรงเรียนหลายแห่งไม่เห็นความสำคัญ ไม่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน งบประมาณแสนจำกัด ผู้บริหารต้องเสียสละทุนทรัพย์ของตนเองไม่ไหว จึงต้องหันไปเน้นกิจกรรมด้านอื่นตามนโยบายดีกว่า
ห้องสมุดจึงกลายเป็นงานฝาก งานรอง ขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจ ขาดการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง นี่กระมังที่เด็กไทยเรายังได้ชื่อว่า”ไม่มีนิสัยรักการอ่าน” จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร และยุคแห่งการศึกษาค้นคว้าที่ไร้ขอบเขตหรือไร้พรมแดน ห้องสมุดจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สุด
การปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่าน
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งแวดล้อมเชิญชวน น่าอ่านหนังสือ บรรณารักษ์ที่เด็กเห็นแล้วอยากเข้าห้องสมุด การมีที่นั่งที่เพียงพอ หรือการจัดทำเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ จะสามารถแก้ปัญหาสถานที่จำกัดได้ ทรัพยากรหล่ะ อุปกรณ์ต่าง ๆ ชั้นวางหนังสือ โต๊ะ เคาน์เตอร์ คอมพิวเตอร์ ป้ายนิเทศ
การที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมนักอ่าน สร้างนิสัยให้คนไทยรักการอ่าน จึงเป็นหน้าที่ของครูทุกคนทุกระดับชั้น ในการส่งเสริมให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่าน ซึ่งต้องมีส่วนร่วมกันทั้งโรงเรียน อย่าสักเพียงแต่ให้ครูภาษาไทยหรือบรรณารักษ์ทำอยู่คนเดียว
ครูทุกคนเป็นตัวอย่างที่ดีในการอ่าน
เป็นหน้าที่ของครูทุกคนทุกวิชาต้องส่งเสริมพัฒนาเด็กให้มีนิสัยรักการอ่าน เริ่มจากครูทุกคนต้องเริ่มอ่านให้เด็กเห็น จัดเป็นเวลา “วางทุกงานอ่านทุกคน” ทุกวัน
ผู้บริหารสนับสนุน ติดตามอย่างใกล้ชิด
สิ่งสำคัญคือ การเอาจริงเอาจังอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมจะน่าสนใจหรือไม่อยู่ที่การสร้างแรงจูงใจ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นฝ่ายสนับสนุน ช่วยเหลือครูโดยช่วยคิด ช่วยวางแผน และจัดสรรงบประมาณให้ห้องสมุดอย่างเพียงพอ
บางตอนจากหนังสือ สนุกกับนิสัยรักการอ่าน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
เขียนโดยศึกษานิเทศครรชิต มนูญผล ศึกษานิเทศเชี่ยวชาญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๑
ด้วยจิตคารวะ
ธีระ เงินแก้ว
ปลายพฤษภา ห้าสาม
สวัสดีครับ ให้ความคิดดีครับ