ว่าด้วยเรื่องของ… ความเป็นอนิจจัง


ข้าพเจ้าเข้าสู่หนทางแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนามาได้สามปีกว่าๆ   นับเป็นช่วงเวลาที่น้อยมากเมื่อเทียบกับวันเวลาที่เกิดมาและมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เพราะเมื่อเทียบกับอายุที่ข้าพเจ้าเติบโตมาก็ผ่านไปเกือบครึ่งชีวิตเข้าไปแล้ว  แต่การเรียนรู้ในเส้นทางภาวนา กลับถือว่า ยังเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น     ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าถ้าข้าพเจ้าสนใจในการภาวนาเร็วกว่านี้ ข้าพเจ้าอาจจะมีเวลา ในการเรียนรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มากขึ้น แต่นี่เวลาก็ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ  ทว่าเวลาในชีวิตของข้าพเจ้าก็กำลังเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆเช่นกัน

คงจะมีคนเข้าใจไม่มากนักว่า   ทำไมคนส่วนหนึ่งถึงมุ่งความสนใจทั้งหมดกับการเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนา และจัดไว้เป็นอันดับต้นๆ ของสิ่งที่จะทำ  และถือว่าสำคัญมากสำหรับชีวิต  เพราะในความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่  น่าจะมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า และควรทำมากกว่า  เช่น  เรื่องปากท้อง เรื่องเงินทอง เรื่องครอบครัว  เรื่องสังคม  เรื่องการงาน  เรื่องของชาติบ้านเมือง   สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น อาจจะเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับชีวิตของคนหลายๆคน และต่างก็กำลังทุ่มเทชีวิตเกือบทั้งชีวิตเพื่อทำอะไรสักอย่างตามอุดมการณ์  ตามความคิดฝันของของตนเอง   ส่วนการภาวนา การเข้าปฎิบัติธรรมอาจจะเป็นสิ่งสำคัญลำดับสุดท้ายที่จะสนใจหรือใส่ใจ  หรืออาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะนึกถึง ด้วยซ้ำ 

แต่สำหรับผู้ที่เข้าสู่เส้นทางแห่งการภาวนาหลายๆคน  แม้จะใช้ชีวิตในทางโลกอยู่  แถมมีภาระหน้าที่และการงานมากมาย  แต่ก็ยังจัดให้การภาวนาเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆของชีวิต   ข้าพเจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น  ยิ่งนานวันเข้า การภาวนากลายเป็นสิ่งสำคัญ  และมีความจำเป็นสำหรับชีวิต    ในขณะที่เรายังทำการงานในทางโลก  เราก็จะภาวนาไปด้วย และการภาวนาที่ว่าไม่ได้หมายถึงการทิ้งการงานไปนั่งสมาธิเจริญสติอยู่เพียงลำพัง  แต่มันหมายถึงการภาวนาทุกลมหายใจเข้าออกเท่าที่จะเป็นไปได้   ภาวนาในขณะที่กำลังทำการงานอยู่นั่นแหละ 

 

เมื่อเราเพียรปฎิบัติ และเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาสักพัก     เราจะพบว่า มุมมองของชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายทีเดียว  จากเดิมที่เรามองเห็นว่า การมี การเป็น การได้อะไรสักอย่างนั้นสำคัญ  เราก็จะพบว่า นั่นมันไม่ได้สำคัญอย่างแท้จริงสักเท่าไหร่   นับวันเราจะพบว่าสิ่งที่เราดิ้นรนแสวงหา และมุ่งไขว่คว้ามาเกือบตลอดชีวิต  มันไม่มีสาระอันใดที่จะยึดถือได้เลย    และไม่อาจที่จะยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้  ทุกอย่างมีแต่ความแปรปรวนและไม่เที่ยงแท้แน่นอน   การภาวนาได้นำพา เราเดินทางมาถึงจุดที่ว่า ไม่มีอะไำรแน่นอนสักอย่างและไม่มีอะไรให้ยึดได้สักอย่าง   ไม่มีอะไรให้หวัง  และไม่อาจคาดหวังอะไรจากใครได้สักอย่างเดียว แม้กระทั่งการคาดหวังอะไรๆ จากตัวเอง    ฟังดูอาจจะน่าเศร้า และน่าตกใจ และน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง  ว่าทำไมจึงกลายเป็นเช่นนั้นไปได้ แต่นั่นเป็นความจริงแท้อย่างที่ไม่มีอะไรจะสามารถแปรเปลี่ยนความรู้สึกได้อีก 

 

ผู้ภาวนาได้รับรู้ว่า  ในความจริงแท้ของชีวิต  ไม่มีอะไรที่เป็นสาระให้เอาจริงเอาจัง  ไม่มีอะไรดำรงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์  มีแต่การเกิดขึ้น และดับไปของสิ่งทั้งหลาย ตามเหตุและปัจจัยของมัน    ดังนั้นการที่ได้ตระหนักรู้ว่า  ไม่มีอะไรดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ก็เกิดปัญญาชัดเจนที่จะมองเห็นว่า การยึดถืออะไรๆ  ที่ไม่เคยมีความแน่นอนไว้ ก็มีแต่จะทำให้ทุกข์มากขึ้น  ผู้ที่ภาวนาส่วนใหญ่จึงเริ่มปล่อยและวางทุกอย่างลงทีละเล็กทีละน้อย

 

เมื่อเราพูดถึงความไม่แน่นอน  ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของหลวงพ่อชาขึ้นมาทุกครั้ง  เพราะท่านมักจะมีคำว่า “ไม่แน่”  ต่อท้ายอยู่เสมอเวลาจะกล่าวถึงสิ่งต่างๆ    ท่านมักจะกล่าวว่า  “อะไรๆมันก็ไม่แน่ทั้งนั้น แหละ  “   ตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่หลังๆมาข้าพเจ้าพบว่า หลักแห่งความไม่แน่นอนของหลวงพ่อชา คือเรื่องจริงแท้ ที่ไม่อาจจะโต้เถียงได้    มันออกจะยากอยู่ที่จะเข้าใจเรื่องนี้กันได้โดยง่าย    เพราะในทางโลก เราทั้งหลายมักคิดว่า  หลายๆสิ่งมีความเที่ยงแท้แน่นอนไปหมด  หรือไม่ก็หลอกตัวเองในบางครั้ง ว่ามันต้องแน่นอนอยู่ตลอดเวลา เช่นบางครั้งเราคิดว่า เราเป็นคนเดิมเสมอไม่เคยเปลี่ยน  ความคิดเห็นก็เหมือนเดิม  ชอบอะไรๆ แบบเดิม  ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกวันแต่บางทีเราก็ไม่ตระหนัก เราแก่ลง เรื่อยๆ ร่างกายและกำลังวังชาเสื่อมถอยลง แต่เราก็ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่า  นี่คือความเสื่อมของสังขาร และเรากำลังดำเนินชีวิตไปสู่ความตายทุกขณะ และบางครั้งก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราจะตายในสักวันหนึ่ง หรือไม่เคยแม้แต่จะนึกถึงมันด้วยซ้ำ แถมบางครั้งเราก็ดันไปคิดว่า  คงอีกนาน  อีกตั้งหลายปี  เราเพิ่งอายุ 30 -40 ยังไม่ตายง่ายๆหรอก   แล้วก็คิดเอาเองในใจว่าตนเองคงจะตายก็ตอนซักอายุ 70 - 80 โน่น  เราคิดอย่่างประมาทจนลืมไปว่า  ทุกวันนี้คนอายุน้อยๆ  สัก 20 ต้นๆ ก็ยังตายได้  จะไปคาดหวังอะไรกับคนที่อายุมากกว่านั้น  และว่ากันตามจริง คนเราสามารถตายได้ทุกช่วงอายุนั่นแหละ แถมเราก็ไม่เคยตั้งคำถามอะไรกันสักเท่าไหร่ว่า  ที่เกิดมามีชีวิตนี้ เพื่ออะไร และมุ่งหวังอะไร  มาทำไม    เราต่างรื่นเริงสนุกสนานไปกับโลก  สุขๆทุกข์ๆกันไป เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ  เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์  แถมหลงยึดติดกับสิ่งต่างๆ ในโลก และพยายามยึดถือว่าสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นของตนเอง 

 เหตุเพราะคนทั้งหลายอาจจะยังไม่เข้าใจถึงเรื่องความไม่แน่นอน  ความเป็นอนิจจังอย่างลึกซึ้งพอ หลายๆคนจึงยังยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ โดยไม่ยอมปล่อย  เพราะไม่รู้เท่าทันถึงความไม่เที่ยงแท้ ไม่รู้เท่าทันถึงความไม่แน่นอนของชีวิต   หลายคนจึงไปยึดถือในสิ่งที่ไม่แน่นอนนั้น และเมื่อไม่ได้เป็นไปดังที่คิดหวัง  ก็เกิดความทุกข์ครั้งใหญ่ 

 

ในการภาวนาจะทำให้เราทั้งหลายเข้าใจในความไม่แน่นอนของชีวิต อย่างถ่องแท้ เข้าใจในความเป็นอนิจจังของสิ่งทั้งหลาย  เข้าใจอย่างที่ไม่อาจโต้เถียงอะไรได้อีก โดยที่ในเบื้องต้น อาจจะเข้าใจได้ด้วยการคิดไตร่ตรอง  โดยการอ่าน  โดยการฟัง โดยการวิเคราะห์ การหาเหตุและผล  ซึ่งหลายๆคนอาจเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากจากการคิด และการไตร่ตรองใคร่ครวญถึงตรรกะต่างๆ  แบบนักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลาย  แต่สำหรับคนที่ภาวนามาสักระยะหนึ่งนั้น ความไม่แน่นอน หรือความเป็นอนิจจังนั้น มองเห็นได้จากการเกิดสภาวะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง   ที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา  ซึ่งคือปัญญาขั้นสูงสุดที่จะแปรเปลี่ยนความคิดเห็นของเราต่อโลกไปชั่วชีวิต

 

เราอาจจะรับรู้มาว่ากายนี้ไม่เที่ยง  เดี๋ยวมันก็เสื่อม  และด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เรารู้ได้อยู่แล้วว่ามันจะเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย   แต่จากการภาวนา เราจะพบว่า  กายนี้ที่ว่าเสื่อม มันยังแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง  ในทุกขณะ เวลาที่หายใจเข้าออก  มันแปรเปลี่ยนรวดเร็วและละเอียดเสียยิ่งกว่าเวลาเป็นวินาทีด้วยซ้ำ แล้วเราก็จนแต้มที่พบว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นมันมีอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจยึดมั่นถือมั่นอะไรๆได้อีก  จากการทำสมาธิภาวนาเราเกิดพบว่า  ตัวตนที่เราคิดว่ามีนั้น บางครั้งมันหาได้มีจริงๆไม่    มันเพียงแต่เกิดมีขึ้นเป็นครั้งๆและตายลงเป็นครั้งๆ อยู่ตลอดเวลา ก็เท่านั้นเอง   และเราที่เป็นผู้เฝ้ามองดูอยู่ ก็ไม่สามารถจะจัดแจงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรๆกับสิ่งที่ปรากฏนั้นได้เลย  เราอาจถึงกับเกิดความแปลกใจในตอนแรก เมื่อลืมตาออกจากการนั่งสมาธิ หรือเมื่อตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง แล้วก้มมองดูร่างกาย แขนขาของตนเอง และเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาว่า  นี่คือมือของเรา นี่คือแขนขาของเรา นี่คือร่างกายของเรา หรือของใครกันแน่  และผู้ที่ปรากฏออกมาและเฝ้าดูอยู่นี้คือใครกัน เป็นเราจริงๆใช่หรือไม่ ? หรือว่าเป็นสิ่งใด  พอพูดให้คนที่ไม่ได้ภาวนาฟัง เขาก็จะบอกว่า  เราอาจจะกำลังใกล้เป็นบ้าไปแล้วก็ได้  และเราก็กลายเป็นคนบ้าไบ้ไปจริงๆ ที่บางครั้งไม่สามารถอธิบายให้คนทั้งหลายเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความคิด ความเข้าใจของเราต่อชีวิต

หลังจากนั้นสักระยะ เราไม่อาจจะกล่าวได้สนิทใจอย่างแต่เก่าว่า  นี่เป็นกายเรา นั่นคือความคิดของเรา   เพราะอยู่ๆ เราก็กลายเป็นคนนอกที่จ้องมองดูบางสิ่งบางอย่าง ที่ปรากฏขึ้นในกายและใจที่เราคิดว่าเป็นของเรานี่แหละ   มันเป็นเรื่องที่แปลกเอาการอยู่

มันออกจะสับสนและยุงยากมากขึ้นที่จะอธิบายให้เข้าใจได้  ด้วยคำพูด เพราะเมื่อวันหนึ่งเรามองดูร่างกายของเราเคลื่อนไหว ดูใจที่กำลังคิด เราเกิดไม่ได้อยู่เป็นเนื้อเดียวกันกับสิ่งต่างๆอย่างแต่ก่อน  เราไม่ได้กลายเป็นผู้แสดงอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป เพราะมีหลายๆครั้งเราไม่ได้กำลังเล่นหรือกำลังแสดงอะไรๆ อยู่ แต่เรากลับแยกออกมาเป็นผู้ดู ผู้รู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วเราก็สงสัยว่า เราผู้ที่กำลังดูอยู่นี่เป็นใครกัน ทำไมเมื่อก่อนเราถึงไม่เคยตื่นรู้อะไรแบบนี้มาก่อน 

เมื่อเรากล่าวถึงกายหรือรูปที่เป็นร่างกายแขนขา เราอาจจะมองว่านี่คือแขนของเรา นี่คือใบหน้าของเรา  แต่ในสมาธิภาวนา เราจะเริ่มมองเห็นว่า  ในกายที่ว่าเป็นของเรานี้ มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆอยู่ภายในตลอดเวลา ทุกอย่างดูวุ่นวายปั่นป่วนและแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ  รูปที่ปรากฎเป็นรูปของสิ่งที่เราไม่สามารถบัญญัติเป็นคำพูดให้เข้าใจได้  และดูเหมือนว่า เราไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากสภาวะอะไรบางอย่างที่แปรปรวนตลอดเวลานั้น

และภายในร่างกายก็ไม่ใช่สิ่งแข็งทื่ออีกต่อไป   มันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนให้เรียกขาน มันกลายเป็นสภาวะอาการของอะไรบางอย่าง  ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า นั่นคือ "รูปปรมัตถ์"  ร่างกายนี้คือการรวมตัวของสภาวะอาการของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ   และมีใจของผู้รู้คือนาม เป็นผู้รู้สึก เป็นผู้มองสิ่งต่างๆอยู่ และแม้แต่ใจที่รู้ก็แปรเปลี่ยน นี่คือรูปและนามที่ปรากฏในสมาธิภาวนาระดับลึก หรือเราอาจจะรับรู้ได้เมื่อนั่งเงียบๆอยู่เพียงลำพังในสภาวะที่ใจกำลังสบายๆ และผ่อนคลายอย่างเต็มที่  และรูปที่ปรากฏก็คือรูปของปรมัตถ์  ไม่มีแขนขา ไม่ตัวเรา ไม่ขาเรา  และไม่มีอะไรที่จะสามารถระบุได้ว่าเป็นของเรา  ทุกอย่างเป็นเพียงสภาวะและไม่มีอะไรอื่น แถมมีการแปรเปลี่ยนเคลื่อนไหว และมีการสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา  แล้วท่านก็สอนว่า  รูปเกิด นามเกิด รูปดับนามก็ดับ  เกิดและดับต่อเนื่องกันไป  ไม่มีอะไรคงที่คงทนอยู่อย่างนั้นตลอดกาล  ท่านว่าสันตติทำให้เรามองไม่เห็นการเกิดและการดับนี้

  จากนั้นเราก็พบว่า  รูปสมมติที่เรียกเป็นแขนขา หน้า ตา ปาก จมูก   ที่เราเชื่อมั่นนักหนาว่ามันมีอยู่ และจับต้องมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อนั้น กลับกลายเป็นว่า  มันไม่ได้มีอยู่อย่างจริงแท้แน่นอน  มันเป็นแค่เพียงรูปบัญญัติที่เกิดขึ้นชั่วคราว   รูปบัญญัติทั้งหมดนั่นอาจจะมีอยู่จริง  ในการรับรู้ของอายตนะ ทั้ง 6  แถมเราอาจจับต้องมองเห็นได้   แต่ภายในรูปบัญญัตินั้นมีความจริงแท้อันยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นอยู่  นั่นคือรูปปรมัตถ์ จากนั้นจะเราเริ่มมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างตามความเป็นจริงมากขึ้น   และเริ่มรับรู้ว่า สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเข้าใจแต่เดิมมาตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้อีกต่อไป  มันยังมีสิ่งจริงแท้อีกอย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ และเป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครสามารถถกเถียงได้เมื่อเข้าสู่หนทางเส้นนี้ เราเห็นสภาวะธรรมภายในร่างกายที่กว้างคืบ ยาววาหนาศอกของเราเอง  และเราก็เริ่มประจักษ์แจ้งในใจว่า ความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับชีวิต  ตลอดเวลาหลายปีของการเกิดมานั้น เป็นการเข้าใจผิด และเห็นผิดไปจากความจริงแท้หลายๆอย่าง   

ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  พระพุทธองค์นั้นทรงกล่าวไว้   คนหรือมนุษย์ทั้งหลายนั้นวิปลาส เพราะมีความเห็นผิดดังนี้  เช่น  เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง  เห็นสิ่งที่ไม่สวยก็ว่าสวย และเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าคือสุข  นี่คือการเห็นที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง

 

หลังจากภาวนามาสักระยะหนึ่ง สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ในตอนนี้ก็คือ ..

ประการแรกเราไม่ได้ประกอบด้วยกายและสมองแบบที่นักวิทยาศาสตร์กล่าว นั่นเป็นเพียงความจริงแท้ในโลกสมมติ แต่เราประกอบด้วยกายและจิต หรือรูปและนามอย่างไม่ต้องสงสัย  รูปที่ปรากฏและจับต้องมองเห็นได้นั้น เมื่อเรามองเข้าไปภายใน เฝ้าสังเกตดูเข้าไปข้างในรูปบัญญัตินี้  ด้วยการทำสมาธิภาวนา เราก็พบว่า มีรูปที่ละเอียดกว่า ลึกซึ้งกว่า และแปรปรวนกว่าสิ่งใด ๆ ที่เคยพบเจอมาตลอดชีวิต แถมเป็นสิ่งที่เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลานอกเหนือการควบคุมของเราเอง ด้วยเหตุนี้กระมัง หลวงพ่อธีจึงกล่าวสอนเสมอว่า ในการนั่งสมาธิภาวนา จงปิดตาเนื้อและใช้ตาแห่งปัญญา “หา “  แล้วเราจะพบ  “เห็น” สภาวะต่างๆที่ปรากฏในกายนี้ ว่ามันบังคับบัญชาไม่ได้  และมันเป็น “อนัตตา” 

แม้ข้าพเจ้าจะยังเข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาอย่างที่หลวงพ่อว่า  แถมมีอัตตาครอบครองอยู่เป็นพักๆ   แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจอย่างชัดเจนว่า  ไม่มีอะไรให้ยึดไม่มีอะไรให้หวัง ไม่มีอะไรที่เราจะบังคับบัญชาได้ แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายเราเอง  ข้าพเจ้าต้องยอมรับความจริงข้อนี้ เพราะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วยตัวเองจากการภาวนา คือสภาวะที่เราไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้   ข้าพเจ้าจึงเริ่มวางสิ่งต่างๆภายนอกลง

  เหตุเพราะเมื่อได้รู้ว่า แม้แต่ในร่างกายกว้างคืบ ยาววา  หนาศอก ของตนเองนี้ เราก็ยังบังคับบัญชาอะไรไม่ได้  สั่งอะไรไม่ได้    การคิดจะไปควบคุมสิ่งนั้นสิ่งนี้นอกตัว  คงไม่สามารถทำได้ดังที่ใจนึกเป็นแน่   

แถมข้าพเจ้าก็เริ่มเข้าใจชัดขึ้นว่า  อัตตาตัวตน นั้นคือเหตุแห่งการยึดติดในสิ่งทั้งหลาย  คือผู้บงการให้เราคิดเห็นผิดไปจากความจริงแท้  และพยายามยึดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ และคือเหตุแห่งความทุกข์ความวุ่นวายปั่นป่วนทั้งหมดทั้งปวงในโลก 

ดังนั้นแม้ว่าอัตตาตัวตนของข้าพเจ้ายังไม่หายไปไหน แถม ไปๆมาๆ เป็นพักๆ  แต่ข้าพเจ้าก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างคือความเปลี่ยนแปลง และเป็นอนิจจัง

 เพราะทุกสิ่งคืออนิจจัง   เราจึงไม่สามารถยึดถือในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั้นได้  เมื่อเราเฝ้ามองเข้าไปภายในร่างกายตน เราก็พบว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงมีความสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  มันเป็นของมันเองแบบนั้น เราไม่ได้ทำขึ้น เราไม่ได้สร้างขึ้น  ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีใครจัดแจง ไม่มีใครจัดการ มันแปรเปลี่ยนและสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา มันเป็นของมันแบบนั้นมานานแล้ว แต่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยมองเห็น เพราะเรามุ่งแต่ส่งจิตออกไปข้างนอก ส่งความคิดออกไปจากตัวเพื่อวิเคราะห์สนใจในสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั่น ทั้งๆที่ไม่มีอะไรมากกว่าความรู้ในทางโลกเพื่อนำมาใช้ทำมาหากิน  ซึ่งนั่นก็มีประโยชน์อยู่ แต่เราลืมเรียนรู้สิ่งที่สำคัญกว่า แถมไม่เคยรู้เลยว่าข้างในร่างกายตนเองนั้นคือความจริงแท้อันยิ่งใหญ่ ที่อาจจะสามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างข้างนอกนั่นได้

 

ร่างกายเราคือพระไตรปิฏกเล่มใหญ่ ที่บอกและแสดงความจริงแท้นั้นอยู่ตลอดเวลา และเราก็ไม่เคยฟัง และไม่เคยน้อมใจเข้าไปเรียนรู้แม้แต่น้อย กลับสนใจใฝ่รู้สิ่งต่างๆมากมายภายนอก จนลืมที่จะเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายในตัวเอง

เมื่อข้าพเจ้าไปภาวนาที่เมืองปายกับหลวงพ่อธีเมื่อปีก่อน นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเรียนรู้เรื่องของปรมัตถ์มากขึ้น การนั่งสมาธิที่ยาวนานและผ่านการเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานโดยไม่ขยับถึงสามชั่วโมงกว่าๆนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า ใจที่รับ ใจที่รู้สึก อันมีอัตตาตัวตนอันเหนียวแน่น บวกกับความไม่เป็นกลางในขณะนั่งสมาธิ ที่มักจะคอยจัดแจงแทรกแซงอารมณ์และสภาวะธรรมบางอย่างที่เกิดขึ้น คือการเพิ่มความเจ็บความทุกข์ทางกายอย่างสาหัส  เมื่อใจสงบและยอมรับความเจ็บจากการนั่งได้ ความเจ็บนั้นก็ทุเลาลง แต่ไม่เคยหาย เมื่อไปส่งอารมณ์กับหลวงพ่อธี ท่านก็ถามว่าใครกันล่ะที่เจ็บ   อัตตาใช่ไหม๊ที่บอกว่าเจ็บ  ดูนี่  ท่านชี้ไปที่น่องซ้ายของท่านแล้วกล่าวว่า อัตตามันก็เหมือนมีดที่เสียมปักคาอยู่ที่น่องนี่แหละ  ดึงมันออกเสีย จากนั้นท่านก็ทำท่าดึงมีดออกจากน่องของท่านให้ดู

อย่างไรไม่รู้หลังจากได้ฟังที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนั้น  ข้าพเจ้าก็คิดได้ว่า  เมื่อเราเริ่มถอดถอนอัตตา เราก็จะต้องเริ่มต้นจากความเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  และเราต้องรู้จักมองดูความเวทนาที่เกิดขึ้นนั้นอย่างเข้าใจและเป็นกลาง ก็คงเหมือนตอนเราดึงมีดออกจากน่องนั่นแหละ  มันจะเจ็บเมื่อเริ่มต้นขยับมีด แต่เมื่อมันขยับและเริ่มถอดถอนได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะพบว่า ความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนเองเราก็เริ่มลดลง และการถอดถอนอัตตาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบัน  ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกว่า   ความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ข้าพเจ้าพบว่าไม่มีอะไรที่จะต้องยึด  ไม่มีอะไรที่จะต้องหวัง เพราะทุกสิ่งหวังอะไรไม่ได้  การกล่าวเช่นนี้ในทางโลก อาจจะดูเหมือนการสิ้นหวังและยอมจำนนต่อสิ่งต่างๆ  แต่การตระหนักรู้ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ มากจนเกินไปในชีวิต เพราะขนาดกายและใจของเราที่คิดว่าจะยึดถือได้และคิดว่าเป็นของเรานั้น ยังยึดถือไม่ได้  แล้วสิ่งต่างๆภายนอกนั่นเล่ายิ่งยึดถือไม่ได้เอาเลย    

เพราะความคิด ความรู้สึกของเราก็แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบ  ดังนั้นคำพูดและความรู้สึกของคนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน  การยึดถือคำพูด  การคาดหวังอะไร ๆจากสิ่งอื่น หรือคนอื่น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง 

แล้วจะเป็นยังไงต่อไป ข้าพเจ้าไม่อาจจะรู้ได้ แต่การเห็นอนิจจังอย่างชัดแจ้งจากการภาวนา ทำให้ข้าพเจ้า วางหลายสิ่งหลายอย่างลง  ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจในเหตุแห่งทุกข์บางอย่าง  เราทุกข์เพราะเรายึด และเราไปยึดในสิ่งที่ยึดไม่ได้และหวังไม่ได้  ข้าพเจ้าเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่แน่นอนอย่างเตรียมพร้อม

และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า  ทุกขณะ ทุกเวลานาทีคือความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงที่และคงทน   การคิดคำนึงถึงอดีต  และการมัวพะวงถึงแต่เรื่องในอนาคต  จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ชีวิต นอกจากจะทำให้เราทุกข์มากขึ้น 

ในความจริงแท้ที่ประจักษ์ได้ขณะนี้ก็คือ   เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะตายลงเมื่อใด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอีกวินาทีข้างหน้าชีวิตเราจะเป็นอย่างไรกันแน่  และอนาคตในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นเราก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยแม้แต่น้อย  ทุกอย่างคือการคาดเดาและคือการปรุงแต่งไปตามใจอัตตาของเราเอง แล้วเรากำลังวิ่งหาสิ่งใดกันอยู่   เราเกิดมามีชีวิตแล้ววิ่งวุ่นไปกันเพื่ออะไร เพราะสิ่งที่เราวิ่งวุ่นและมองหาและพยายามเป็นเจ้าของนั้นไม่มีสาระอะไรเลย มันไม่มีอะไรเลยที่จะเอาเป็นจริงเป็นจังได้

การถกเถียงกันในทางโลกเรื่องความดีความชั่วของคนทั้งหลาย  ความมีความเป็นของโลกกลายเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยลงสำหรับข้าพเจ้า   ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้ากำลังหนีออกจากโลก แต่ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า โลกมันไม่เที่ยงและชีวิตเรามันก็สั้นเกินกว่าที่จะมา ถกเถียงทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องต่างๆ เหล่านั้น  เพราะขณะนี้เราต่างตกอยู่ในสภาวะอาการเดียวกันอยู่ คือต่างกำลังเดินทางไปสู่ความตายทุกขณะ ทุกเวลานาที   และบางคนก็ยังไม่รู้ตัวรู้ตนกันเลยด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ทุ่มเทไปทั้งหมดทั้งสิ้นในชีวิตเพื่อแสวงหาและอยากได้มานั้น  มันไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย  เพราะมันไม่ใช่เป็นของเราตั้งแต่ต้น   แทนที่เราจะมามัวทะเลาะกัน หรือแย่งชิงอะไรกันอยู่   สิ่งที่เราควรทำมากกว่านั้นคือการให้อภัยและเมตตาต่อกันและกัน ให้มากขึ้น เมตตาที่เราต่างก็ยังเวียนวนและสับสนในชีวิต  และวิ่งตามหาอะไรมากมายหลายอย่าง  แบบไม่รู้ทิศรู้ทาง และหลงคิดไปว่าสิ่งทั้งหลายภายนอกนั้นจะยังความสุขความสมบูรณ์ให้แก่ตนเอง แต่สุดท้ายไม่มีใครเอาอะไรติดตัวไปได้แม้แต่อย่างเดียว แค่เสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวก็เอาไปไม่ได้  ร่างกายที่ยึดถือว่าเป็นของตนก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้และเสื่อมสลายเน่าเหม็นลงสู่ดิน 

มันน่าเศร้าที่ใครอีกหลายๆคนกำลังวิ่งแสวงหาอะไรบางอย่างทั้งวันทั้งคืน เพื่อจะได้มีความสุขจากการได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาครอง ได้เงินทองทรัพย์สิน  ได้ชื่อเสียงและอำนาจ   แต่สุดท้ายจะพบว่าไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนเลยแม้แต่น้อย  นี่คือการแสวงหาความสุขแบบโลกๆ ของคนหลายคน แต่เป็นความสุขที่ไม่เคยเป็นจริงและแน่นอน อย่างที่คิดหวัง แต่บางคนก็ยอมสูญเสียเวลาไปทั้งชีวิตเพื่อมัน  จนข้าพเจ้าอดจะถามในใจไม่ได้ว่า “ทั้งหมดนี้เขาทำกันไปเพื่ออะไรหรือ”  

 เราเกิดมาพร้อมกับการวิ่งวุ่นตามหาสิ่งต่างๆ  กระทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อหวังว่าจะมีความสุข  แต่ความจริงแท้ก็คือ เราไม่เคยเรียนรู้ หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร  และสิ่งสำคัญอะไรกันแน่ที่เราควรจะสนใจอย่างจริงจังในชีวิต

 

อะไรกันแน่ที่เราควรแสวงหาและมุ่งมั่นทำเพื่อมันอย่างแท้จริง เพราะในการเกิดมาเป็นคนและมีชีวิตอยู่นี้ อย่างมากสุดก็คงไม่ถึง 100 ปี  และบางคนอาจจะน้อยกว่านั้น  และเราก็กำลังใช้เวลาในชีวิตนั้นหมดไปเรื่อยๆ  กับการทำสิ่งต่างๆ ที่บางครั้งมันอาจจะไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงสักเท่าไหร่แก่ตนเองและแก่โลกนี้

ถ้ามาคิดใคร่ครวญดูให้ดี  เราจะพบว่า ในการเกิดมาเป็นคนนั้น  มีหลายๆครั้งที่เราใช้เวลาในชีวิตเสียไปกับการวิ่งวุ่นตามหาและครอบครองสิ่งทั้งหลาย แถมพยายามจัดแจงสิ่งต่างในโลก บ้างก็ต่อต้านสงคราม บ้างก็ต่อต้านความอยุติธรรม   บ้างก็ค้นหาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อจะได้เพิ่มการผลิต เพิ่มการใช้ทรัพยากรทั้งหลายมากขึ้น บางคนก็กอบโกยแสวงหาเงินทองมากมาย  หารถราคาแพงมาขับ หาบ้านหลังโตๆ ราคาหลายร้อยล้านเพื่ออยู่อาศัย   หาวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะอยู่ให้นานที่สุดโดยไม่เจ็บไม่ป่วยและแก่เฒ่า ด้วยมุ่งหวังว่าจะได้อยู่เสวยสุขนานๆ   อยู่เพื่อจะได้สุขๆทุกข์ๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้สลับไปมาอีกนานๆ   และอยู่กับสิ่งเหล่านั้น และเป็นแบบนั้นไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต  เราต่างดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ  แบบไร้ทิศไร้ทาง จนเวลาในชีวิตเหลือน้อยลง..  น้อยลง  และไม่เคยคิดถามตัวเองอย่างแท้จริงเลยว่า  ทั้งหมดนี้เราทำไปเพื่ออะไร แสวงหาไปเพื่ออะไร และเป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อโลกจริงหรือไม่ ??

ด้วยความเป็นอนิจจังของสิ่งทั้งหลาย แม้แต่ภายในกายและใจของเราเองที่ก็ไม่เที่ยง   จึงไม่มีอะไรที่เราจะจับต้องยึดถือได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าในอดีตหรืออนาคต    ความจริงแท้ข้อนี้บ่งบอกว่า  เราไม่มีอนาคตให้หวัง ไม่มีอดีตให้ย้อนกลับ  ไม่มีอะไรให้ยึด และไม่มีความสุขใดๆ ที่ต้องไปวิ่งแสวงหา นอกจากการรู้จักดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยม  ดำรงอยู่เพื่อทำสิ่งต่างอย่างเกื้อกูลกัน  ไม่เพิ่มทุกข์ให้แก่กัน และควรปล่อยควรวางบางสิ่งบางอย่างลงเสียบ้าง

 แม้โลกมันจะวุ่นวายปั่นป่วนและเอาแน่เอานอนไม่ได้  แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องหนีไปจากโลก    ทว่าต้องอยู่ในโลกอย่างเข้าใจโลก เข้าใจตามที่มันเป็นจริง  เมื่อเราเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์มากอย่างแต่ก่อน   เมื่อถูกกระทบก็จะไม่กระเทือนมาก อย่างแต่ก่อน   นี่คือการเรียนรู้เบื้องต้นในการใช้ชีวิต และ เป็น การ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ทุกข์มากหลังจากได้เข้าใจในความเป็นอนิจจัง ของสิ่งทั้งปวงอย่างแท้จริงแล้ว .

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #อนิจจัง
หมายเลขบันทึก: 376633เขียนเมื่อ 19 กรกฎาคม 2010 08:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีครับ มีสาระที่เป็นประโยชน์ล้วน ๆ ขอบคุณที่มีแบ่งปันครับ

สวัสดีท่าน sunny ครับ

แวะมาอ่านบันทึกธรรมครับ

การภาวนาควรอยู่อันดับต้นๆของชีวิตเพราทำให้เราได้เข้าใจร่างกายบางเบาของเรานี้ว่า

มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้

เข้าใจตนเองดี แล้วก็จะเข้าใจคนอื่น สิ่งอื่น

จนถึงที่สุดแล้วไม่ยึดถือ ทั้งกาย ใจ ตน และ ของนอกกาย

ซึ่งจะถึงได้ด้วยการฝึกฝน ปฏิบัตินะครับ

อนุโมทนาสาธุครับ...

ขอบพระคุณครับ สำหรับภูมิธรรมขั้นลึกซึ้งที่ได้ถ่ายทอดมาในบันทึกนี้
การให้ธรรมะเป็นการชนะการให้ทั้งปวงครับ

ขอบพระคุณอีกครั้งครับ

อนุโมทนาสาธุครับพี่ยา รับรองแฟนคลับที่บ้านต้องชอบเรื่องนี้เเน่นอนเลยครับ ^_^

กำลังดูข้อมูลบางอย่างอยู่ค่ะแต่มาเจอบล็อกนี้เข้า ชอบจังค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท