The Monk Who Sold His Ferrari ตอนที่ 1 - ในสวน


จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

หลายเดือนก่อนเพื่อนที่ทำงานบอกแนะนำหนังสือเรื่อง “The Monk Who Sold His Ferrari” ให้อ่าน เห็นชื่อเรื่องแล้วฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องของการปล่อยวาง การหยุด ความสันโดษ อะไรประมาณนั้น ฉันแอบคิดในใจว่ามันคงไม่เหมาะกับฉันสักเท่าไหร่ สัปดาห์ก่อนเพื่อนเอาหนังสือเล่มเดิมมาวางไว้บนโต๊ะเพราะรู้ว่าฉันจะไปนอนตากลมที่ชายทะเล ฉันหยิบติดมือขึ้นเครื่องไปภูเก็ตด้วยกัน ขอบคุณเพื่อนคนนั้นที่ทำให้วันหยุดของฉันถูกใช้อย่างคุ้มค่า

“The Monk Who Sold His Ferrari” ของ Robin Sharma เป็นหนังสือจิตวิทยาชีวิตแนวใหม่ ที่นำเสนอแนวคิด และวิธีเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเติมเต็มความฝันและค้นหาความหมายของชีวิต เนื้อเรื่องดำเนินไป โดยมีตัวเอกเป็นทนายความดาวรุ่งที่ร่ำรวย เขามีหน้าที่การงานที่ใครก็อิจฉา และใช้ชีวิตอยู่บนความหรูหราในสังคมที่ผู้คนให้การยอมรับชื่นชมเขา บังเอิญวันหนึ่งเขาประสบปัญหาด้านสุขภาพอย่างกระทันหัน หลังจากรักษาตัวให้หายดีแล้วเขาจึงปล่อยวางทุกอย่างที่มี ขายรถเฟอร์รารี่คันโปรด เพื่อออกเดินทางค้นหาความหมายในชีวิต เขาจึงกลับมาเล่าสิ่งที่เขาค้นพบในหนังสือเล่มนี้ ใครที่กำลังสับสน ต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการแรงใจหรือชอบอ่านหนังสือในแนวนี้ลองดูได้ มีฉบับภาษาไทยด้วยค่ะ ชื่อเรื่อง “เขาขายเฟอรารี่ทิ้ง - ค้นพบชีวิตที่แท้จริง” แปลโดย เนืองนันต์ สำรวจรวมพล

แนวคิดเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่สำหรับฉันหนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดที่ช่วยเตือนใจในการใช้ชีวิตจริงในโลกในสังคมที่เป็นสังเวียนของการวิ่งแข่งขันของหนูหรือสังคมที่มีคนหลงทางในระหว่างทาง หนังสือเล่มนี้คงช่วยแนะแนวให้คนอ่านได้ค้นพบจุดมุ่งหมายและทดลองใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดูบ้าง

แนวคิด 7 วิธี ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตนั่นก็คือ
1. การควบคุมจิตใจ
2. การตั้งจุดมุ่งหมาย
3. การพัฒนาตัวเอง การค้นหาพลังที่ซ่อนเร้น
4. การใช้ชีวิตอย่างมีวินัย
5. การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
6. การอุทิศตนเพื่อคนอื่น และ
7. การอยู่กับปัจจุบัน

การควบคุมจิตใจ - ในสวน
เพราะว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กิริยาความประพฤติที่แสดงออกมาต่างเป็นผลพวงของคุณภาพของจิตใจของคนคนนั้น ผู้เขียนเปรียบจิตใจของคนว่าเป็นดั่งสวนดอกไม้ จิตใจที่ดีงามก็เหมือนสวนที่ได้รับการ ดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของ คอยรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย กำจัดแมลงที่มากัดกินต้นไม้ดอกไม้ สวนนั้นก็จะชุ่มชื่น เป็นระเบียบสวยงามดอกไม้ก็จะบานสะพรั่ง หากเจ้าของสวนไม่ใส่ใจปล่อยสวนให้รกมีวัชพืชปกคลุม เขาจะหาความงามจากสวนนั้นไม่ได้ จิตใจที่ไม่มีการดูแล ปล่อยให้ความเศร้า ความพะวง ความกังวล ความกลัว เข้ามาครอบงำก็ย่อมหาความสงบสุขไม่ได้เช่นกัน หากเราต้องการมีชีวิตที่เติมเต็มเราก็ต้องดูแลจิตใจให้ดี ไม่ให้ใครเอาเรื่องที่ไม่ดีเข้ามาในสมองของเรา ไม่ว่าจะเพียงเรื่องเล็กน้อย มากน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม คนที่มีความสุข มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ มีความกระปรี้กระเปร่า มีความพึงพอใจ คนที่สามารถจุดประกายไฟในชีวิตให้ลุกโชติช่วง และเต้นรำไปกับจังหวะอันรื่นรมย์ของชีวิตได้ เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีพื้นฐานที่ต่างไปจากเราๆท่านๆ สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นเปิดรับเอาความคิดในทางบวกเข้าไปใช้ในการดำเนินชีวิตของเขาก็เท่านั้น

โรบินเปรียบการคิดไปข้างหน้า การมองออกไปรอบตัวว่าเป็นเหมือนความฝัน แต่การคิดถึงปัจจุบัน การมองเข้าไปในจิตใจของเราเองว่าเป็นการตื่น ฉันคิดว่าการได้อยู่ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝันจะช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นค่ะ เราต้องตื่นขึ้นมาทำงานอยู่กับความคิดในขณะนั้น และเราก็ต้องการการพักผ่อนให้พอดีเพื่อเติมพลังให้วันรุ่งขึ้นและจุดประกายในชีวิตให้วันต่อๆไป หากในระหว่างที่เราตื่น เราจัดการกับจิตใจของเราให้ดีก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเราจัดการกับจิตใจได้สำเร็จ ชีวิตเราก็จะประสบความสำเร็จไปด้วย

มีสถิติบันทึกเอาไว้ว่าในแต่ละวันของคนปกติเรามีเรื่องราวผ่านเข้ามาให้เราคิดถึง 60,000เรื่อง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจิตใจของเรามีพละกำลังที่จะคิดโน่นคิดนี่ได้เยอะแยะมากมาย ฉันแอบคิดว่าเพราะจิตใจเราทำงานหนักป่านนี้นี่เองที่พอกลับถึงบ้านในแต่ละวันฉันแทบหมดแรงเลยทีเดียว และที่สำคัญในหกหมื่นเรื่องนั้นประมาณ 50,000 เรื่องเป็นเรื่องของอดีต เรื่องที่เราเคยคิดมาแล้วทั้งนั้นค่ะ แทนที่จะใช้เวลาที่มีสรรสร้างจินตนาการ เพื่อการพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม เราต่างใช้วันเวลานั้นรำลึกถึงความหลัง และและหากลองสังเกตดูโดยมากเรื่องราวเหล่านั้นมักเป็นเรื่องที่สร้างความประทับใจในทางลบให้กับเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตรักที่ไม่สมหวัง ปัญหาการเงิน ปัญหาเรื่องครอบครัว ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เราเคยคิดมาก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้น หลายเดือน หลายปีมาแล้วด้วยใช่ไหมคะ ลองนับดูไหมคะว่าวันหนึ่งๆเราคิดถึงเรื่องอะไรบ้างและมีกี่เรื่องที่เป็นเรื่องซ้ำซากที่เคยคิดมาแล้ว และมีกี่เรื่องที่คิดแล้วทำให้เรารู้สึกเศร้า เหงา หรือโกรธ หากเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเรา ปล่อยให้ความรู้สึกในด้านลบเข้ามาครอบคลุมจิตใจ ในขณะนั้นศักยภาพทางจิตใจก็จะลดลง พลังงานที่มีจะถูกใช้ไปโดยไม่ก่อให้เกิดผลดีต่ออารมณ์ ร่างกายและวิญญาณ

ความคิดจิตใจของเรามีพลังมหาศาล ซึ่งพลังนี้จัดได้ว่าเป็นของกำนัลที่ยิ่งใหญ่สุดชิ้นหนึ่ง จากธรรมชาติที่ว่ากันว่าแม้แต่คนที่เป็นนักคิดที่อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด อาจใช้พลังทางจิตแค่ 1% ที่เขามี ที่เหลืออีก 99% ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ พลังของจิตใจสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้ค่ะ เขาเล่ากันว่าคนที่ฝึกใจให้สงบสามารถควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลงได้ แม้แต่ท่านดาไลลามะองค์ปัจจุบันก็ให้ความสนใจกับการวิจัยในด้านนี้

เราไม่อาจบังคับกฎเกณฑ์สิ่งอื่นหรือคนอื่นได้ แต่หากเราฝึกฝนเราสามารถควบคุมจิตใจของเราได้โดยไม่ยอมให้ความคิดในด้านลบ ความคิดที่ไร้สาระ ความกังวล ความโกรธ เข้ามามีบทบาทกับเราได้ การรู้ตัวว่าเราคิดอะไรอยู่จะเป็นขั้นแรกที่จะช่วยให้เราสามารถควบคุมจิตใจเราได้ ตื่นนอนในตอนเช้าลองถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร บางครั้งเราอาจบอกกับตัวเองว่าเหนื่อย ไม่อยากตื่นขึ้นไปทำงาน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเราอาจกำลังทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำอยู่ เพราะหากเราทำในสิ่งที่เรารัก เราจะมีพละกำลังอย่างล้นเหลือไม่เป็นอย่างที่เรารู้สึกในวันนี้ เมื่อรู้เช่นนี้เราอาจหาวิธีแก้ไขในสภาพที่เป็นแล้วสร้างไฟแห่งความกระตือรือล้นขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือตัวอย่างการจัดการชีวิตของเราเองโดยเริ่มจากการรู้ตัว การควบคุมความคิดของเรา

ผู้เขียนบอกว่า การที่เรามีอำนาจเหนือคนอื่น มันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีสักเท่าไหร่ แต่การที่เรามีอำนาจเหนือจิตใจของเราเองต่างหากที่น่าทึ่งยิ่งนัก ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ เพราะนั่นหมายถึงการควบคุมชีวิตของเราให้ดำเนินไปในทิศทางที่เราต้องการได้ ในขณะเดียวกันเราสามารถอนุญาตให้จิตใจที่สมบูรณ์ที่มีของเรา กำหนดการกระทำที่ดีงามค่ะ เราอยากเป็นเจ้าของสวนที่ภาคภูมิกับสวนสวยที่ใครๆก็เอ่ยปากชม เราก็ต้องทำงานหนักหน่อยนะคะ ลองจินตนาการว่าหากเราเป็นเจ้าของสวน เป็นคนดูแลสวนที่ฉันเอ่ยถึงในข้างต้น หากรู้ว่ามีคนคอยที่จะเข้ามาทำลายดอกไม้ เอาขยะมาทิ้ง หรือเข้ามาทำลายความสงบสุขในสวนของเรา เราย่อมพยายามที่จะกีดกันคนเหล่านั้นไม่ให้เข้ามา หากสุดวิสัยเราก็อาจต้องเก็บกวาดซ่อมแซมสวนของเราให้มีสภาพดีขึ้นดังเดิม ในยามที่รู้ว่าจะมีเรื่องราวเข้ามากระทบกระทั่งจิตใจ เราก็ย่อมป้องกันจิตใจของเราไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเข้ามามีอิทธิพลมากนัก หากสุดวิสัยจริงๆเราก็ต้องหามุมมองที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น วันก่อนเพื่อนสนิทของฉันทิ้งรองเท้าคู่สวยไว้นอกบ้าน แล้วบังเอิญรองเท้าหายไปในตอนเช้า แทนที่จะโวยวายเอะอะ เขากลับบอกฉันว่า ไม่เป็นไรคนนั้นอาจเห็นว่ารองเท้าของฉันสวยจริงๆ และเขาก็ต้องการมันมากกว่าฉัน ดีเหมือนกันวันนี้ฉันจะได้มีโอกาสไปเดินช้อปปิ้งกับเธอให้สนุกไปเลยทั้งวัน ฉันรู้สึกทึ่งในการมองปัญหาของเขา และบทเรียนที่เราได้จากเหตุการณ์ในวันนั้นคือความไม่ประมาท...

เมื่อไม่นานมานี้บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ประกาศลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% ฉันรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่เพื่อนบางคนที่ได้รับการคัดออกบอกฉันว่ามันคือโอกาสที่ดี ที่เขาจะได้ลองหางานใหม่ ทำในสิ่งที่เขาอยากทำมานานแต่ไม่กล้าเนื่องจากความสะดวกสบายที่ได้รับ วิกฤตินี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา เมื่อประตูหนึ่งปิด อีกประตูหนึ่งก็จะเปิดอยู่เสมอ และก็เป็นจริงดังนั้นเมื่อฉันได้รับข่าวว่าเพื่อนๆเหล่านั้นมีความสุขกับงานใหม่อย่างยิ่ง

โรบินบอกว่าโดยธรรมชาติจิตใจของคนเราจัดว่าเป็นคนรับใช้อย่างดี แต่เป็นเจ้านายที่ยอดแย่ จิตใจของเราถูกชักนำให้คิดไปโน่นไปนี่อยู่เสมอตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การที่จะคอยควบคุมกฎเกณฑ์ให้คิดในเรื่องบวก มองโลกในแง่ดี สงบสุขนั้นต้องอาศัยการฝึกฝน จิตใจที่สมบูรณ์ก็เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องอาศัยการดูแล ออกกำลังรักษา หากหยุดกล้ามเนื้อนั้นก็อาจหายไปหรือกลายเป็นไขมันที่ไม่พึงปรารถนาก็ได้

ผู้เขียนแนะนำเทคนิคฝึกฝนจิตใจให้เป็นเจ้านายอยู่เสมอ ไว้สามวิธีคือการตั้งใจจดจ่อกับเกสรของดอกกุหลาบ การคิดในทางตรงข้าม และการมองภาพที่งดงามในทะเลสาบอันสงบสุข

การเอาใจจดจ่อกับเกสรดอกกุหลาบคือการทำใจให้เป็นสมาธิ สงบ ชื่นชมกับความงามและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่อยู่เบื้องหน้า ควบคุมจิตใจไม่ให้วอกแวกไปที่อื่น เริ่มจากวันละ 5 นาที ไปจน 15-20 นาที หากทำได้ทุกวันนั่นคือการควบคุมจิตใจของเรา มิเช่นนั้นเราจะไม่อาจคุมความคิดได้

การคิดในทางตรงข้ามคือการฝึกการรู้ตัวอยู่เสมอ อย่างที่เรารู้ๆกันว่าโดยธรรมชาติ คนเราคิดถึงแต่เรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองอยู่บ่อยที่สุด ดังนั้นเมื่อความคิดเหล่านั้นเกิดขึ้นให้รีบแทนที่ความคิดในทางลบด้วยเรื่องที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่นในทันที เพราะสมองของเราสามารถคิดได้ทีละเรื่อง หากเราบังคับให้สมองคิดแต่เรื่องที่ดีได้ จิตใจเราจะสงบขึ้นค่ะ มีคุณภาพที่ดีขึ้น จิตใจที่อ่อนแอนำไปสู่การกระทำที่ไม่ได้เรื่อง จิตใจที่มีระเบียบ ถูกฝึกฝนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะสร้างปรากฎการณ์อันมหรรศจรรย์ได้

การมองภาพที่งดงามในจินตนาการ ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นได้สองครั้ง ครั้งแรกในจินตนาการและครั้งที่สองในความเป็นจริง ดังนั้นหากจุดมุ่งหมายของเราคือการที่เราจะสามารถควบคุมจิตใจเราได้ เราก็ต้องจินตนาการภาพของเราที่เป็นเจ้านายของความคิดของเราได้ ภาพของเราที่สงบ มีความสุข มีความคิดในทางบวกอยู่เสมอ ทะเลสาบอันสงบสามารถสะท้อนเงาของตัวเราที่ยืนชื่นชมมันอยู่ได้ ทะเลสาบเป็นดังกระจกเงาช่วยสะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการอันงดงามได้ และเมื่อเราเชือมั่นว่าภาพในจินตนาการนั้นคือภาพที่เราอยากให้มันเกิดในชีวิตจริง เราก็สร้างภาพในชีวิตจริงขึ้นได้

หากทำได้ดังนี้เราจะพบกับความสงบสุขในชีวิตที่เป็นผลมาจากการควบคุมจิตของเราค่ะ ดังคำกล่าวที่ว่า "เพียงคนที่ค้นหา คือคนที่จะค้นพบ"

เดี๋ยวบทต่อๆไปจะเอามาแบ่งปันวันหลังนะคะ..

หมายเลขบันทึก: 375510เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2010 22:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 02:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

รีบแปลนะคะ จะรอค่ะ เพราะเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ใด้ เราจึงต้องเปลี่ยนตัวเอง

...ขอบคุณ ที่แนะนำหนังสือที่น่าสนใจ จะรอบทแปลจากคุณอ่าน ครับ

          

ใจเป็นนาย  การเป็นบ่าว หากเหนื่อยมากก็ให้รางวัลกับตนเองด้วยการพักผ่อนบ้าง  หากยากรู้ว่าวันหยุด พญาครุฑหหน้าธนาคารทำอะไร (ภาพนี้คือคำตอบ) 

สวัสดีค่ะ ขอบพระคุณที่แวะมาทักทาย และฝากสำหรับความคิดเห็นไว้ค่ะ

คนเรามุ่งเน้นวัตถุมากขึ้น

ทำงานมากขึ้น

เพื่อ....

นำเงินที่ได้มาไปซื้อวัตถุ (ผมก็ยังเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ใน บางเวลา)

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ

สวสดีค่ะคุณชิน อย่างน้อยเราก็มีทางเลือกให้กับตัวเองค่ะ ว่าสิ่งที่เราต้องการในขณะนั้นคือวัตถุหรือไม่ ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่เราเลือกค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ...

แนวคิด 7 วิธี ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตนั่นก็คือ
1. การควบคุมจิตใจ
2. การตั้งจุดมุ่งหมาย
3. การพัฒนาตัวเอง การค้นหาพลังที่ซ่อนเร้น
4. การใช้ชีวิตอย่างมีวินัย
5. การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
6. การอุทิศตนเพื่อคนอื่น และ
7. การอยู่กับปัจจุบัน

มีไม่ครบค่ะ เจ็ดข้อ(มีสักครึ่งเท่านั้น)

 

บันทึกนี้ดีมาก ๆ ค่ะ ต้องมาอ่านซ้ำ หลาย ๆ รอบ ค่อย ๆ คิด

ยินดีที่รู้จักค่ะ

สวัสดีค่ะคุณภูสุภา

จะพยายามแปลสรุปให้ได้ทุกตอนค่ะ ตอนนี้ได้ 2 ใน 7 ตอนแล้วค่ะ

ขอบคุณค่ะที่แวะมาทักทาย..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท