413 รวมพลังสวดพระปริตรและอธิษฐานจิต...เพื่อประเทศอันเป็นที่รัก


ยิ่งใหญ่และมีพลัง

 

 

ผมได้รับแผ่นประชาสัมพันธ์จากคุณเอื้องอุมา กัลยาณมิตรในทางธรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นงานสวดพระปริตรอธิษฐานจิตเพื่อแผ่นดินไทยครั้งที่ 22 น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เพื่อนำไปสู่ความ สันติสุข สงบสุขและสามัคคี

นำสวดโดยพระอาจารย์อารยวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย จังหวัดลำพูน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันที่ 18 กรกฏาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 07.00-09.00 น

แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว กางเกงหรือกระโปรงสีสุภาพ ใช้หนังสือสวดมนต์พระปริตร

ผมจำได้ว่าลูกศิษย์พระอาจารย์เคยบอกว่าการสวดนี้เป็นการสวดที่มีพลังมาก และว่าแม้ไม่มีโอกาสไปร่วม ก็สามารถตั้งใจร่วมสวดอยู่ที่บ้านได้โดยกะเวลาประมาณ 07.00-09.00 ก็ได้เหมือนกัน ผมนั้นตั้งใจที่จะไปร่วมสวดนี้มากที่เมืองไทย แต่ไม่มีจังหวะพอดี จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้ไป

ครั้งหนึ่งในปีที่แล้วตัวไม่ได้ไปแต่เมื่อทราบว่าคุณ Arun Kapur ผู้อำนวยการโรงเรียน Vasant Valley โรงเรียนมัธยมชื่อดังติดอันดับ 1 ในเดลี (ซึ่งลูกๆ ของผมเรียนอยู่) จะไปเมืองไทยในช่วงเวลาที่มีสวดที่วัดพระแก้วพอดี ผมจึงได้บอกคุณอรุณให้ไปร่วมสวดด้วย ปรากฏว่าพอกลับมาถึงเดลี คุณอรุณมาเล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่า เขาประทับใจมากและรู้สึกว่าเป็นการสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพลังดีๆ มากมายจากที่สวดนั้น คุณอรุณบอกว่าซาบซึ้งกับพระอาจารย์อารยวังโสมากและในวันนั้นได้รับเกียรติให้ถือพานดอกไม้ด้วยคนหนึ่ง ถือเป็นสิ่งดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยทีเดียว

โอกาสนี้ ผมจึงขอเรียนเชิญกัลยาณมิตรทั้งหลายไปร่วมงานสวดดังกล่าวและหากไปไม่ได้จริงๆ ก็ร่วมกันสวดจากที่บ้านที่อยู่ของตนไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือที่ไหนก็ตามในโลกนี้ ช่วยกันครับ รวมพลังเพื่อแผ่นดิน อันเป็นที่รักของเรา

ด้วยความปรารถนาดีครับ

หมายเลขบันทึก: 373479เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2010 09:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวดไม่เป็น แต่ขอตั้งจิตอนุโมทนาร่วมด้วยค่ะ.

น้าจ้าครับ

ขอบพระคุณครับที่ตั้งจิตร่วมอนุโมทนาบุญด้วย

ขอนำประโยชน์ของพระปริตรมาให้ทราบ ณ ที่นี้ครับ

๕.   สวดพระปริตรแล้วได้ประโยชน์อย่างไร?

ประโยชน์ของการสวดพระปริตรนั้นมีมากค่ะ อานิสงส์ที่ได้รับจากการสวดพระปริตรนี้ เกิดจากอานุภาพของพระรัตนตรัย และเมตตา เพราะพระปริตรกล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัย และการเจริญเมตตาภาวนา(สรุปว่า อานุภาพของพระรัตนตรัยเป็นเหตุเกิดของพระปริตรทั้งหลาย) 

ท่านพระนาคเสนเถระได้กล่าวไว้ในหนังสือมิลินทปัญหาว่า

คนที่สวดบริกรรมพระปริตรนั้น งูที่มุ่งจะกัด ก็จะไม่กัด ปากที่อ้าไว้ก็หุบ แม้โจรที่ยกก้อนหินจะทุ่มใส่ ก็ไม่ทุ่ม กลับโยนก้อนหินทิ้งแล้วกลับใจมารัก ช้างที่ดุร้าย ครั้นวิ่งมาถึงก็หมอบสงบใกล้ๆ แม้กองไฟมหึมาที่ลุกโชติช่วง ครั้นไหม้ลามเข้ามาใกล้ก็ดับ ยาพิษแม้ร้ายแรงที่ดื่มกินเข้าไป ก็กลายเป็นยาถอน หรือซาบซ่านเป็นอาหารบำรุงร่างกาย ฆาตกรที่มุ่งจะฆ่า ครั้นเข้ามาใกล้ ก็ภักดียอมเป็นทาส แม้แต่บ่วงดักสัตว์ที่เขาดักไว้ เหยียบลงไปก็ไม่รูดรัดเท้า”

ฉะนั้น ผู้หมั่นสาธยาย (สวด) พระปริตรจึงได้รับผลานิสงส์ เป็นต้นว่า ประสบความสวัสดี (ปราศจากทุกข์ โรคภัย)  ความเจริญรุ่งเรือง(มงคล) ได้รับชัยชนะ (เหนือสัตว์ร้าย อมนุษย์ร้าย ทั้งหลาย) แคล้วคลาดจากอุปสรรค อันตราย มีสุขภาพดีและมีอายุยืน การสวด พระปริตรมีอานุภาพป้องกันอุปัจเฉทกกรรม (กรรมที่เข้ามาตัดรอน) ของผู้สวด และผู้ฟังได้

หลักธรรมพระปริตรและ การสวด บริกรรมพระปริตร

การสวดพระปริตรนั้น ด้วยมุ่งหมายให้เกิดประสิทธิภาพ มีอำนาจ อานุภาพคุ้มครอง ป้องกันอันตรายภัยพิบัติต่าง ๆ เกิดความสุขสวัสดีมีชัย และยังถือว่าเป็นมงคล พระปริตรในพระพุทธศาสนา มีหลักและความมุ่งหมายตรงข้ามกับเวทมนต์ตามลัทธิอื่น ไม่มีคำสาปแช่งให้ร้าย ซ้ำยังเป็นการให้พรแสดงความปรารถนาดี ด้วยหลักธรรมสำคัญสองข้อ คือ 1 การอ้างความจริง (สัจจกิริยา)

 2 ความรักใคร่ไมตรีจิต (เมตตา)

หลักธรรมสองข้อนี้ มีอยู่ในพระปริตรเกือบทุกบท เช่น การอ้างเอาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มากล่าวเป็นคำอวยพร

ท่านผู้ตั้งอยู่ใน สัจจะ นั้น ทำแม่น้ำที่มีกระแสไหลเชี่ยวให้ไหลกลับได้ แม้ยาพิษก็แก้หายทำลายเสียได้ด้วยสัจจะ ป้องกันและห้ามไฟก็ได้ ฝนไม่ตกทำให้ฝนตกได้   ส่วนเมตตา ความมีไมตรีจิตมิตรภาพและรักใคร่ ก็พึงแผ่ไปแม้ในศัตรูอมิตรและภูติฝีปีศาจตลอดจนสัตว์ร้ายและอมนุษย์อื่นๆ ผู้ทำตัวเป็นศัตรู ซึ่งการแสดงความปรารถนาดีต่อกันนั้นมิใช่แสดงออกแต่ด้วยกิริยาสุภาพอ่อนโยน และกล่าวคำพร่ำว่าด้วยถ้อยคำไพเราะสละสลวย ซึ่งเป็นอาการภายนอก หากแต่จะต้องประกอบด้วยความมีน้ำใสใจจริง ที่เอิบอาบซึมซาบด้วยความรู้สึกเมตตารักใคร่ต่อกันฉันท์พี่น้องเป็นอาการภายในด้วย พระปริตรจึงจะมีอานุภาพให้ความคุ้มครองและป้องกันรักษา สมตามความมุ่งหมายของพระปริตร ซึ่งเป็นพระพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนา

ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าความมุ่งหมายของพระปริตร ใช้หลักธรรม ไม่มีการสาปแช่งแบบลัทธิอื่น  เช่นความมุ่งหมายของโองการแช่งน้ำ ที่วิงวอนเทพเจ้า และสาปแช่งศัตรู ให้ร้ายปรปักษ์ ผู้ไม่ภักดี

หลักธรรมของพระปริตรอีกข้อหนึ่งคือ เมตตา

ดังพระพุทธดำรัสว่า

เธอจงเจริญพุทธานุสติ ภาวนาที่ยอดเยี่ยมในภาวนาธรรม เพราะผู้เจริญภาวนานี้ จะสมหวังดังมโนรถ”

อมนุษย์ที่ต้องการจะทำร้ายผู้เจริญเมตตา ย่อมประสบภัยพิบัติเอง เปรียบเหมือนคนที่ใช้มือจับหอกดาบ จะได้รับอันตรายจากการจับหอกดาบนั้น” 

ด้วยเหตุที่พระปริตร เป็นพุทธมนต์สำหรับสวดและบริกรรมภาวนาตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านพุทธโฆษะเถระ จึงกล่าวถึงหลักการสวดและบริกรรมไว้ในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ว่า

                "ผู้สวดพระปริตร กล่าวผิดอรรถบ้าง ผิดบาลีบ้าง หรือสวดไม่คล่องเสียเลย พระปริตรก็ไม่มีเดช ผู้ที่สวดได้คล่องแคล่วชำนิชำนาญเท่านั้น พระปริตรจึงจะมีเดช ถึงแม้ผู้ที่เล่าเรียนพระปริตร แล้วสวดเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ พระปริตรนั้นก็กาอำนวยประโยชน์ไม่ ท่านผู้ตั้งใจจะช่วยให้พ้นทุกข์ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก (เป็นอารมณ์) แล้วสวดนั่นแล พระปริตรจึงจะอำนวยประโยชน์"

ผู้สวดพระปริตรจะต้องมีเมตตาจิตเป็นเบื้องต้น แล้วสวดด้วยคิดจะช่วยขจัดปัดเป่าให้เขาพ้นทุกข์
ตามความมุ่งหมายของพระปริตร และขณะสวดขอให้มีจิตใจมั่นคงอย่าฟุ้งซ่าน พระปริตรจะบำบัด ขจัดปัดเป่า ป้องกัน คุ้มครอง มีเดช มีอานุภาพนั้น  จะต้องสวดและบริกรรมโดยถูกต้อง และฟังด้วยความเลื่อมใสศรัทธา การเปล่งเสียงพระปริตรด้วยจิตที่เลื่อมใส ศรัทธาอย่างแท้จริง พร้อมกับจินตนาการ เชื่อกันว่าเป็นยาวิเศษที่มีสรรพคุณชะงัด ไม่น้อยไปกว่าสมุนไพรทั้งหลาย การตั้งใจสวดย่อมแสดงถึงความเมตตารักใคร่ที่มีต่อกัน เพื่อป้องกันและปัดเป่าภยันตรายออกไป โดยมิได้มีการรำลึกถึงเทพทั้งหลาย เพราะเป็นการเอาอานุภาพพระพุทธคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาสัจจะและพระธรรม ความเมตตากรุณา ให้แผ่ออกไปกว้างขวางโดยไม่มีขอบเขต

พระปริตรจะไม่คุ้มครองรักษาเพราะเหตุสามประการคือ
๑. กรรมเข้าขัดขวาง
๒. กิเลสเข้าขัดขวาง
๓. เพราะไม่เชื่อในอานุภาพ
(หากท่านสนใจในเรื่องเหตุสามประการนี้ สามารถอ่านได้ในคัมภีร์ มิลินทปัญหา พระนาคเสนเถระได้ทรงอธิบายเอาไว้อย่างชัดแจ้ง)

คำว่า ปริตร มีความหมายว่า การคุ้มครองรักษา การคุ้มครองป้องกัน ยังมีคำที่ใช้คู่กันกับ ปริตร อีกคำหนึ่ง คือ "ตาณ" แปลว่าการป้องกัน แล้วโบราณแผลงเป็นคำศัพท์ว่า "ตำนาณ" แต่เรามาเขียนเพี้ยนกันไปเป็น "ตำนาน" โดยไม่ทราบความหมายว่ามันผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง

สวดเจ็ดตำนาณ หรือ สิบสองตำนาณ คืออะไร
เมื่อนำพระสูตร หรือพระคาถาใด ๆ มาทำ ปริตร ซึ่งเดิมไม่มีคำว่า ปริตร ต่อท้าย ท่านก็เปลี่ยนเรียกเป็นปริตร
ดังจะเห็นจากชื่อที่เรียกไว้ในคัมภีร์ มิลินทปัญหา และในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เช่น

รัตนสูตร เป็น รตนปริตร
ธชัคคสูตร เป็น ธชัคคะปริตร
อาฏานาฏิยสูตร เป็น อาฏานาฏิยะปริตร

ส่วนที่เรียก ปริตร อยู่แล้วก็เรียกไปตามเดิม เช่น ขันธะปริตร โมระปริตร โพชฌงคะปริตร เป็นต้น

การเกิดอานิสงส์ของผู้สวด และผู้ฟังพระปริตร

เนื่องจากพระปริตรมีอานุภาพมาก เมื่อผู้สวดพระปริตรเพียบพร้อมด้วยองค์ 3 คือ

๑.มีเมตตามุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง

๒.สวดถูกอักขระ ไม่มีบทพยัญชนะที่ผิดพลาด

๓.รู้ความหมายของบทสวด

แม้ผู้ฟังพระปริตรก็ต้องมีองค์ ๓ เช่นกัน คือ

๑.ไม่เคยทำอนันตริยกรรม ๕ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ประทุษร้ายนางภิกษุณี และทำสังฆเภท

๒.ไม่มีมิจฉาทิฐิที่เห็นผิดว่า  กรรมและผลกรรมไม่มี

๓.เชื่อมั่นในพลานุภาพพระปริตรว่า มีจริง สามารถคุ้มครองผู้ฟังได้จริง

ส่วนประวัติพระปริตร จะได้นำมาให้ทราบกันต่อไปครับ

 

ขอขอบคุณมากๆเลยค่ะ.....คุณพลเดช

การให้ทานคนทางด้านสติปัญญา ส่งผลให้เกิดความอิ่มเอิบใจกับผู้ให้ สร้างความรู้ใหม่ให้กับผู้ได้รับ ตอนนี้ผู้ได้รับก็อิ่มเอิบใจด้วย เพราะได้รับความรู้ใหม่..... :-)

ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะ

ตอนนี้ผู้รับ(น้าจ้า)กำลังได้รับความอิ่มเอิบใจมากเพิ่มขึ้น เพราะได้ย้อนไปเริ่มต้นอ่านบันทึกของคุณ "ข้อคิดเศรษฐกิจพอเพียง" มาอ่านพบทีหลังว่าคุณเขียนบันทึกนี้ไว้ในวันที่ 13 มีนาคม 2550. ตอนนั้นคุณยังไม่ได้อยู่ที่อินเดียเลย.

"ในวิถีชีวิตที่คนไทยควรปรับปรุงตัวเองในยุคโลกาภิวัฒน์" อ่านทวนถึงสองหน ดูว่าตัวเองตกหล่นข้อใหนบ้าง?

"งานตื่นเต้นในต่างแดนประสพการณ์นักการทูต" ที่ต้องไปไล่ผีนะคะ อ่านแล้วกร๊ากกมั่กๆ....(ขอยืมคำพูดของเด็กวัยรุ่น(วุ่นวาย)ที่เมืองไทยมาพูด.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า....กร๊ากจริงๆ.

"การเป็นผู้นำนั้นยาก แต่การตัดสินใจไม่เป็นผู้นำนั้นก็ยากขึ้นไปอีก" บันทึกนี้คุณเขียนไว้ตอนเดือนเมษายน 2550 บันทึกนี้กระทุ้งความทรงจำของน้าจ้า ของตัวน้าจ้ามันเกิดขึ้นนานกว่านั้น ของคุณน้าจ้าพอเดาออกว่าเป็นอะไร? แต่ของน้าจ้าคือจะรับตำแหน่งผจก.สาขาดีหรือไม่ อ่านความรู้สึกที่คุณบันทึกลงไว้แล้ว ใจตรงกัน คิดตรงกัน ที่น้าจ้าได้ดิบได้ดีในตำแหน่งหน้าการงานที่ทำ เพราะสนุกและชอบงานที่ทำมากๆ ไม่ค่อยได้คิดเรื่องเงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่เท่าไร ในตอนนั้นคิดว่าถ้าตัวเองได้เป็นผจก.เมื่อไร มันเห็นภาพความทุกข์มาประกบชิดตัวแบบตามเราเข้าไปถึงในห้องนอนแน่ๆ แต่เพราะบุญเก่า กรรมดีที่สร้างใหม่ในชีวิต ก็เลยจบลงแบบ "What starts well ends well" ....

ขอตัวไปดูบอลโลกก่อนค่ะ

น้าจ้าครับ

เข้ามาตอบและรับทราบความอิ่มเอิบใจของน้าจ้าก่อนครับ

ทำให้รู้ว่าผมไม่ได้ดูบอลโลกคู่ชิงนะครับเพราะดูน้องเต้คนเดียวก็เหนื่อยแล้วครับ

หวังว่าน้าจ้าคงเชียร์ทีมที่ชนะนะครับ

เรื่องที่น้าจ้าสนทนามา เต็มไปด้วยความจริงใจครับ ผมจึงจะต้องใช้เวลาตอบสักนิด

เพื่อส่งความจริงใจให้กลับไปครับ...รอก่อนนะครับ

ด้วยความปรารถนาดีครับ 

น้าจ้าครับ

ก่อนเริ่มทำงาน แวะมาตอบและสนทานากับกัลยาณมิตรในต่างแดนดีกว่าครับ

เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสไปอบรมเรื่องนี้ที่คลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม เป็นรุ่นที่ 1 จากที่พอรู้เช่นคนทั่วไป จึงกลายมาเป้นเข้าใจหลักการว่านี่คือการแก้ปัญหาของโลกสมัยใหม่ โลกของทุนนิยม โลกาภิวัฒน์ที่จูงคนให้ไปตามกิเลสเพื่อคำว่าอำนาจ อำนาจทางการเงิน ทางตำแหน่ง ทางวัตถุนิยม ทางโลกียะทางประสาททั้ง5

สรุปสั้นๆ ก็คือกิเลสนั่นเองครับ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผล ทั้งในรายละเอียดและในองค์รวม

ผมเห้นว่าพระองค์ทรงหาทางแก้ไขกิเลสที่เกินพอดีของมนุษย์ จึงออกมาเป้นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งสำหรับเห็นว่าเป็นธรรมที่ลึกซึ้งสำหรับโลกปัจจุบัน ก็คือดึงคนให้กลับมาสู่ความพอดี

ไทยโชคดีที่ได้รับรู้สูตรนี้ก่อนใคร แต่ก็โชคร้ายที่ไม่ได้สนใจสูตรนี้เลย

อาจเพราะมีตัวอย่างคนที่รวยมาง่ายๆ ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน คำว่าพอเพียงจึงดูสวนทางกับความต้องการในใจ

แม้จะเป็นหนี้ ก็ดูจะไม่ได้ร้ายแรงเพราะความอยากรวย หรือเข้าข้างตัวเองในประโยคที่ว่า ใครไม่เป็นหนี้ถือว่าไม่มีเครดิต........

ก็ไม่ว่ากันครับ

คนไทยไม่ได้ไม่เพียงสนใจสูตรแก้จนในระยะยาวแต่กลับทิ้งศีลธรรมและหลักปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยแทบหมดสิ้น ในขณะที่คนไทยในต่างแดนกลับพยายามฟื้นฟูอนุรักษ์ความเป็นไทย

ผลของการตามความทันสมัยโดยไม่ได้ดูศักยภาพที่ดีงามและฐานะของประเทศ เราจึงได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นหลายอย่างซึ่งผมจะไม่ระบุ ก็คงพอเดากันออก

ผมยังยืนยันว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือสูตรแก้ความเสื่อมโทรง ความตกต่ำของสังคมมนุษย์ทั้งโลก

ทั้งที่อยากจะให้ทุกคนสนใจและนำไปปฏิบัติ แต่ในที่สุด ก็ ใครทำใครได้ครับ

เรื่องการเป็นผู้นำนั้น คงเกิดกับทุกคนที่มีโอกาสครับ จึงอยู่ที่บุญบารมีในแต่ละขณะของแต่ละคนที่จะเลือกทางไหน ที่อาจจะไม่ถูกใจตนเองที่สุด แต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ผมคงอยากเป็นพระธุดงถ์มากกว่าจะเป็นอะไรในสังคมนี้ครับ แต่ก็ถือว่ายังไม่มีบารมีพอที่จะออกจากสังคมไป และยังมีกรรมเก่าเช่นที่น้าจ้าบอกมา

ก็เลยฝึกการให้ไปพลางๆ เท่าที่จะให้ได้ โดยเฉพาะความรู้

ผมคิดว่าความสุขใจคือเมื่อไม่ต้องการอะไรทางโลกแล้ว จิตก็เบาสบายไปได้มากทีเดียวครับ

"What starts well ends well" ....ของน้าจ้านั้น ก็ขอให้ ในที่สุด เป็นไปเพื่อทางธรรมคือความหลุดพ้น เป็นที่สุดนะครับ

ด้วยความปรารถนาดีครับ 

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท