อาการปวดประจำเดือน อาจมีภัยที่แฝงเร้น อาการของผู้หญิงที่เจ็บปวดแต่มองไม่เห็น


อาการปวดประจำเดือน อาจมีภัยที่แฝงเร้นที่ไม่คาดคิด อาการน่าเห็นใจของผู้หญิง รู้ตัวเองว่ามีอาการผิดปกติต้องรีบไปพบแพทย์

ปวดประจำเดือน   อาจมีภัยที่แฝงเร้น    อาการน่าเห็นใจของผู้หญิง

                  วันนี้เปิดอ่านเดลินิวส์ออนไลน์  พบบทความที่เป็นสาระความรู้ที่ผู้เขียนบันทึกเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือน   แต่เป็นบทความที่มากด้วยสาระเนื้อความที่ผู้หญิงทุกคนควรได้อ่าน  แต่การไม่ได้ไปเปิดค้นอย่างตั้งใจก็ไม่พบบทความนี้แน่นอนและมิหนำซ้ำทีไม่มีเวลาเข้าไปอีก  เพราะเปิดอ่าน ใน gotoknow  นี้ใช้เวลาพอสมควรแถมไม่ต้องไปหลายที่  ที่นี่ที่เดียวมีครบทุกสาระที่ต้องการ      ด้วยความตั้งใจจึงนำคัดลอกมาให้อ่านกันเต็มๆโดยไม่มีการแต่งเติมเพื่อให้เป็นความรู้จากเจ้าของบทความทั้งหมดจากแหล่งข้อมูล เพราะถ้าสรุปเสริมเติมแต่งก็จะทำให้ความรู้ผิดเพี้ยนไปได้  แต่อย่างไรก็อดที่จะขอบคุณหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ไม่ได้ที่มีบทความสาระดี ๆมาบอกเล่าเป็นประจำ  จึงขอขอบคุณมา  ณ โอกาสนี้ด้วย  และขออนุญาตที่ไม่เป็นทางการที่จะนำบทความนี้มาลงในบันทึกเพื่อแจกจ่ายแบ่งปันไปยังทุกคนได้เก็บสะสมไว้ประจำตัวและเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่นต่อไปได้ด้วย

                   สาระที่กล่าวถึงคืออาการปวดท้องประจำเดือน ซึ่งเป็นภาวะที่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยทนทรมานมาแล้ว ที่แตกต่างกันก็คือปวดมาก หรือน้อยเท่านั้น หากเป็นอาการปวดท้องประจำเดือนแบบธรรมชาติทั่วไปไม่มากก็ไม่เป็นไร แต่หากปวดมาก และปวดนานเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า อาจเป็นอาการปวดเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ข้างในโดยที่เราไม่รู้ตัวและหากละเลยทนปวดอยู่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
   
                    รศ.นพ.สุวิทย์ บุญยะเวชชีวิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูติ-นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการปวดท้องประจำเดือนหรือปวดท้องเมนส์ว่า ภาวะปวดท้องประจำเดือน หรือปวดระดู (Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดท้องน้อยที่สัมพันธ์กับการมีระดู เป็นปัญหาที่พบบ่อยของสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ ปวดระดูชนิดปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) หรือเรียกว่า แบบธรรมชาติ เป็นภาวะปวดท้องน้อยจากมดลูกหดเกร็งระหว่างมีระดู โดยไม่มีโรคร้ายใดๆซ่อนอยู่  
   
                     ทุกครั้งที่มีประจำเดือนมดลูกจะสร้างสารตัวหนึ่งชื่อ พรอสตาแกลนดินส์ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวเป็นพัก ๆ เพื่อไล่เลือดออกมา แต่มีผลต่อระบบเส้นเลือดบีบตัว กล้าม   เนื้อบีบตัว และลำไส้บีบตัวผิดปกติ ซึ่งการบีบตัวของอวัยวะในช่องท้องก็ทำให้มีอาการ เช่น มดลูกบีบตัวไล่เลือดออกมา ทำให้มีการปวดบีบเหมือนโดนอะไรบีบจะมีอาการมากหรือน้อยแตกต่างกันไป และมีอาการเส้นเลือดบีบตัวที่สมอง ทำให้ปวดหัวเหมือนเป็นไมเกรน หรือบางคนมีอาการคลื่นไส้    อาเจียนร่วมด้วย เนื่องจาก   ลำไส้ทำงานผิดปกติ ทำให้มีกลุ่มอาการของการมีประจำเดือนเกิดขึ้น และเป็นธรรม ชาติที่ผู้หญิงทุกคนต้องทรมานกับอาการดังกล่าว และกลุ่มอาการพวกนี้มักจะมีในช่วงวัยรุ่นและมีแค่ 1 ปีแรก หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะปวดลดลง ซึ่ง    อาการจะปวดมากที่สุดในวันแรกของการมีระดูตรงท้องน้อยหรืออาจปวดร้าวกระจายไปบริเวณหลังหรือต้นขา และทุเลาลง หรือ 1-2 ชั่วโมงก่อนมีประจำเดือน
      
                      ส่วน ปวดระดูชนิดทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เป็นภาวะปวดท้องน้อยจากมดลูกหดเกร็งที่เกิดจากพยาธิสภาพภายในอุ้งเชิงกราน สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจทางคลินิก คืออาการจะตรงข้าม    กับแบบธรรมชาติ เช่น ตอนสาว ๆ ไม่ปวดแต่กลับเพิ่งมาปวดตอนอายุมากขึ้น เป็นทีละหลาย ๆ วัน และปวดมากขึ้นทุกเดือน ๆ จนทำงานไม่ได้ต้องลางาน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาจจะมีประจำเดือนไหลมากขึ้นผิดปกติ มี  ไข้สูง มีหนองไหลออกมาทางช่องคลอด ซึ่งแสดงว่าเป็นสัญญาณอันตรายอาจจะมีโรคอื่นซ่อนอยู่ข้างใน ได้แก่ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในบางกรณีที่เป็นมากอาจพบ มีถุงน้ำที่รังไข่ (โรคช็อกโกแลตซีสต์) โรคเนื้องอกของกล้าม  เนื้อมดลูกโรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ส่วนใหญ่โรคที่พบบ่อย คือ “โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” (Endometriosis) เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูก  ไปอยู่ที่ตำแหน่งอื่นของร่างกาย โดยปกติจะไปอยู่ที่อุ้งเชิงกราน นอกตัวมดลูก คือ ในแต่ละเดือนผู้หญิงเมื่อมีประจำเดือนมดลูกจะบีบตัวเพื่อไล่เลือดประจำเดือนออกมา แต่จะมีบางส่วนที่ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างในมดลูก ถ้าฝังอยู่นิดหน่อยจะกลายเป็นพังผืด แต่ถ้าฝังอยู่มากตรงรังไข่เลือดรวมกันเป็นก้อนกลายเป็นถุงน้ำและมีเลือดคลั่งอยู่ข้างในมีสีน้ำตาล เรียกว่า โรคช็อกโก แลตซีสต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น   เนื้อดีแต่มีสิทธิเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นถ้าโตมาก ๆ เกิน 4 ซม. ต้องผ่าออก เพราะมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและวันดีคืนดีอาจแตกและเกิดการอักเสบในช่องท้องถึงขั้นเสียชีวิตได้
   
                     อย่างไรก็ตามทุกคนมีภาวะเลือดประจำเดือนไหลย้อนได้ แต่ว่ามีบางคนร่างกายสามารถกำจัดเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปฝังตัวผิดที่เหล่านี้ได้ แต่บางคนไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้เกิดโรคนี้ขึ้น ซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงคือคนที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยและหมดประจำเดือนช้า คนที่อายุมากเพราะสะสมเลือดที่คั่งค้างไว้นานกว่าในบางรายอาจมีปัญหามีบุตรยากร่วมด้วย
   
                    สำหรับการรักษาถ้าหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนมีอาการไม่มากนักอาจรักษาเริ่มระยะแรกโดยการรับประทานยาระงับปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือยาที่ต้านฤทธิ์พรอสตาแกลนดินส์ ก็จะสามารถบรรเทาอาการปวดและควรออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการปวดได้ แต่ถ้าหากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปวดแบบมีโรคซ่อนอยู่อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นให้รีบไปพบแพทย์อย่ากลัวการตรวจภายใน เพราะโรคที่ซ่อนมากับอาการปวดท้องระดูนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการรับประทานยาหรือถ้าจำเป็นก็ต้องผ่าตัด สำหรับในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และอาจกลัวการตรวจภายในนั้นสามารถใช้วิธีอัลตราซาวด์ตรวจทางหน้าท้องได้ไม่ต้องตรวจภายใน หากแต่งงานมีลูกแล้วก็สามารถตรวจโดยการตรวจภายในและอัลตราซาวด์ได้ซึ่งในสตรีที่แต่งงานแล้วจะแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกปีและสามารถตรวจมะเร็งปากมดลูกในคราวเดียวกัน
   
                   สาระของบทความคงจะแจงรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน  เรื่องภายในร่างกายมองไม่เห็นแต่อาการผิดปกติเจ้าตัวก็จะรู้ตนเองดี  หากมีอาการใด ๆ ที่สงสัยว่าน่าจะผิดปกติก็ไม่ควรละเลยปล่อยไว้  เพราะไม่มีใครรักเรามากที่สุดเกินไปกว่าตัวเราเอง   และสิ่งที่สำคัญคือช่วยบอกเล่าแบ่งปันให้คนรอบข้างได้ตระหนักไว้ด้วยก็จะเป็นบุญมหาศาล  บุญที่สุดยอดที่สุดคือการให้  เราจะให้เงินให้ทองก็เกรงใจตัวเองว่าจะไม่พอใช้  สิ่งที่ให้โดยไม่ต้องเสียไปคือการความรู้นั่นเองและเราก็ยิ่งร่ำรวยอีกต่างหากคือร่ำรวยความรู้เช่นกัน …………………………………………………………………………………………

แหล่งอ้างอิงข้อมูล .....เดลินิวส์ออนไลน์        4  กรกฎาคม  2553



-------------

เคล็ดลับสุขภาพดี : ภูมิแพ้ในเด็ก รู้เท่าทันป้องกันได้

ขึ้นชื่อว่าความเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยโรคใดแล้วย่อมไม่มีใครปรารถนาอยากให้เกิดขึ้น การเตรียมความพร้อมมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสิ่งนี้ล้วนมีความหมายความสำคัญ
   
เช่นเดียวกับ โรคภูมิแพ้ในเด็ก ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ของโรคมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยปัญหาดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้จัดเสวนาในหัวข้อ สืบให้รู้ดูให้แน่ โรคภูมิแพ้ป้องกันได้ โดยมี รศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ให้ความรู้
   
จากอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ที่ศึกษาวิจัยพบว่ามีเพิ่มขึ้นในทุกโรคโดยเฉพาะภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ แพ้อากาศหรือเป็นหวัดเรื้อรัง อีกทั้งพบการแพ้อาหาร รองลงมาจะเป็นหอบหืด ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ ส่วนในเรื่องของการแพ้นมวัวพบในเด็กขวบปีแรกโดยอายุเฉลี่ยที่วินิจฉัย 14.8 เดือนและที่อายุน้อยสุดประมาณ 7 วันโดยระยะของอาการมีได้นับแต่ 2 นาทีหลังจากการทานนมโดยใบหน้าบวม หายใจไม่ออกและอาจช็อกหมดสติได้
   
การได้รับโภชนาการที่เหมาะสมนับแต่เริ่มต้น สิ่งนี้จะช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ อีกทั้ง ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวสิ่งนี้นั้นก็มีส่วนสำคัญซึ่งการค้นหาประวัติครอบครัวเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยป้องกันการเกิดภูมิแพ้ของทารกได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และถูกต้องทันท่วงที
   
“ในครอบครัวหากพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ 20-40 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้โอกาสที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้ก็จะมีมากราว 50-80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุของโรคภูมิแพ้ นอกจากปัจจัยจากพันธุกรรม ประวัติภูมิแพ้ของคนในครอบครัวแล้วยังมีปัจจัยจาก  สิ่งแวดล้อมด้วย”
   
สิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวการทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ อาหาร นอกจากนี้อาจมาจากการที่เด็กกินนมแม่น้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มที่แม้ต้องทำงานนอกบ้านซึ่งการส่งเสริมให้ทารกได้รับนมแม่อย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรกถือว่ามีส่วนช่วยป้องกันลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้
   
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับ ลูกน้อยเพื่อหลีกไกลจากภูมิแพ้ เริ่มได้นับแต่การที่คุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีความเสี่ยงสูงต้องไม่มองข้ามละเลยควบคุมสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เช่น ในเรื่องของไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง ต้องหมั่นทำความสะอาดดูแล
   
ขณะเดียวกัน คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารที่มีความสมดุล การรับประทานนมก็มีความสำคัญหลีกเลี่ยงการดื่มนมวัวในปริมาณที่มากกว่าปกติในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร อีกทั้งหลังคลอดควรให้ลูกได้ทานนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนซึ่งก็จะช่วยลดการสัมผัสกับโปรตีนแปลกปลอมช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายลดการเกิดภูมิแพ้ในเด็กซึ่งถือว่าเป็นการป้องกัน แต่หากไม่สามารถให้นมแม่ได้เลือกให้นมสูตรเอชเอ (H.A.) ที่มีโปรตีนเวย์ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภูมิแพ้ได้.

…………………………………………………………………………………………

แหล่งอ้างอิงข้อมูล .....เดลินิวส์ออนไลน์        4  กรกฎาคม  2553

หมายเลขบันทึก: 371884เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2010 09:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 15:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท