ประยงค์
ร้อยตรี ประยงค์ ธรรมมะธะโร

ธรรมะอนุบาล


พยัญชนะมีความหมาย

                                           คำนำ

                  ข้อเขียนที่ปรากฏอยู่ในบันทึกนี้    ผู้เขียนรวมจากสมุดบันทึกของผู้เขียน เมื่อเจอพระธุดงค์จาริกมาปักกลดยังสถานที่ต่างๆ ที่ผู้เขียนไปพบหรือจอดรถเจอโดยบังเอิญ   และได้สนทนาธรรมะ  ปรารภเรื่องต่างๆที่มีคุณค่าหลายๆเรื่อง  จากนั้นจึงนำมาผสมผสานผูกแต่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น   สำหรับเอาไว้สอนลูกเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ  สามารถปรับตัว  เผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต

                บันทึกนี้ไม่บังอาจที่จะเป็นอัญมณีที่ดีเด่นเพราะยังไม่ได้ผ่านการตรวจหรือการพิจารณาจากท่านผู้รู้  นักปราชญ์หรือปัญญาชนที่เลิศล้ำแม้แต่ท่านเดียว   จึงต้องออกตัวไว้ก่อนว่า  หากท่านใดได้อ่านบันทึกนี้แล้วไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของท่านและเป็นพระคุณอย่างสูง  หากท่านกรุณาท้วงติง  และให้คำติชมหรือควรแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ อันเป็นสิ่งที่ผู้เขียนปรารถนาเปรียบดั่งท่านได้ตรวจทานให้ผู้เขียนจนกระทั่งเห็นข้อบกพร่องอันจะก่อให้เกิดโทษที่ไม่พึงปรากฏขึ้นแก่ท่านผู้อ่าน  จึงได้เขียนมาเพื่อให้ผู้เขียนได้ดำเนินการให้ถูกต้อง

                ในส่วนใดที่เป็นประโยชน์เป็นข้อคิดที่มีคุณค่า  สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านแล้ว  ขอยกคุณความดีที่เกิดขึ้นนั้นแด่ท่านพระภิกษุหรือท่านผู้รู้ที่ได้กรุณาให้แนวทางที่ดีแก่ผู้เขียนจนกระทั่งสามารถนำมาเขียนเป็นบันทึกที่ปรากฏแก่สายตาของท่านผู้อ่านหรือท่านใดที่คิดจะนำข้อเขียนต่างๆ  ที่ปรากฏในบันทึกนี้ไปพิมพ์หรือไปสอนเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา  ผู้เขียนยินดีอนุญาตและจะถือเป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านให้เกียรติแก่ผู้เขียนในการเผยแผ่ให้แพร่หลายในโอกาสข้างหน้า

                                                        นายประยงค์  ธรรมมะธะโร

                                          ย้อนความกำเนิดเรื่อง

                            

          ลูกรัก  พ่อดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นลูกของพ่อ  พ่อก็คิดว่าเจ้าก็คงจะดีใจที่ได้พ่อมาเป็นพ่อของลูก  ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อ  เป็นความรักเป็นความอบอุ่น  ความผูกพันที่ลึกซึ้งยากที่จะอธิบายได้   เมื่อเจ้าเกิดมาพ่อคิดว่าจะเลี้ยงดูอบรม  สั่งสอนให้โตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ก่อนเจ้าจะเกิดพ่อและแม่ได้เตรียมสิ่งของมากมายหลายอย่างไว้รอรับเจ้า  เจ้าเป็นสิ่งเดียวที่พ่อและแม่มุ่งหวังปรารถนา  อยากให้เกิดมามีอวัยวะครบ  32  ประการ  จะเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายพ่อและแม่ก็ให้ความรักเท่ากัน  เป็นผู้หญิงก็ดี  อบรมสั่งสอนง่ายและได้ฝึกเป็นแม่บ้านการเรือน  สร้างครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น  เป็นผู้ชายก็ดีได้แข็งแรงมีความสามารถหลายๆด้าน  รับใช้ประเทศชาติ  สร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น  นี้แหละคือความปรารถนา  ความตั้งใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ทุกๆ คน   ขณะที่พ่อกำลังบรรยายอยู่นี้เป็นเวลาบ่าย  2  โมงของวันที่ 17  กุมภาพันธ์   พ.ศ.  2534  พ่อกำลังนั่งรับลมเย็นใต้ถุนบ้านย่า ช่างเป็นความสุขที่หาได้ง่ายๆ จริงๆ  คุณแม่ของลูกกำลังนั่งมัดผักเป็นกำๆ เพื่อนำไปขายที่ตลาด  คุณย่ากำลังดูโทรทัศน์  ลูกกำลังเล่นตามประสาเด็กๆ   พ่อได้ทำหน้าที่ของพ่ออย่างดีที่สุดแล้ว   แต่พ่อคิดว่าลูกควรเรียนรู้สิ่งต่างๆเอาไว้บ้าง  เมื่อลูกโตขึ้นมาจะต้องเผชิญกับสังคมที่เปลี่ยนไปทุกขณะ   ดังนั้นพ่อจึงต้องสอนลูกเพื่อให้ปรับตัวและอยู่รอดในสังคมได้อย่างเป็นสุข   เอาละ….แต่นี้ไป   พ่อจะสอนความรู้ให้เจ้า

                                          พยัญชนะ  ก

“  เกสา  “  (เป็นภาษาบาลีแปลว่าผม)    ผม  ที่ขึ้นบริเวณส่วนข้างบนเอียงไปทางข้างหลังของศีรษะ  มีความสำคัญมาก  ก่อน  “ นาค “ จะได้บวชเป็นพระนั้นพระอุปัชฌาย์ยังต้องบอกกรรมฐานเป็นอันดับแรกเลยว่า  เกสา บางคนอาจคิดไม่ออก  จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเรานี้เอง  

                            

ผมที่แข็งกระด้างชี้เหยียดขึ้นตรง มักเป็น”ผม”สั้น จะนำมาตกแต่งดัดซอยทำให้สวยงามก็ไม่ได้ ถามใครๆ ก็ไม่มีใครชอบ(ยกเว้นพระภิกษุ) นี่”ผม”สอนเราล่ะว่า ถ้าใครเป็นคนแข็งกระด้าง หยิ่งผยอง ไม่ฟังใคร ชีวิตราชการงานที่ทำ อาชีพที่ประกอบก็จะสั้นตกต่ำไม่รุ่งเรืองยืนยาวก้าวหน้าไปได้ช้า คนไหนแข็งกระด้างมักขาดคนช่วยเหลือ ไม่มีใครแนะนำประโยชน์ ไม่มีใครสนใจและไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย

                         

                ส่วน”ผม”ที่นุ่มสลวยสวยงาม อ่อนนุ่มมักจะเป็น”ผมยาว”จะตกแต่งดัดซอยทำผมให้สวยก็ทำได้ง่าย ถามใครๆ ก็มีแต่คนชอบ บางทีผู้ชายยังไว้ผมยาวอย่างก็หญิงก็มี นี่”ผม”สอนเราอีกแหละว่า ถ้าใครเป็นคนอ่อนหวาน นุ่มนวลมีสัมมาคารวะ ชีวิตราชการงานที่ทำ อาชีพที่ประกอบจะยืนยาวรุ่งเรือง ก้าวข้ามไปได้เร็ว มีแต่คนช่วยเหลือเจือจุน แนะนำประโยชน์ให้ มีแต่คนสนใจใส่ใจและอยากคบหาสมาคมด้วยเนื่องๆ

                ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ เมื่อ”ผม”อยู่บนศีรษะ ใครๆ ก็ว่าดี สวยงาม แต่พอ”ผม”ร่วงหล่นเป็นเส้นๆ ตกลงมา ใครๆ ก็พากันรังเกียจ ไม่สนใจ ไม่อยากแตะต้อง “ผม”ก็สอนเราอีกว่า เมื่อคนเราอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงาน ใครๆ ก็ว่าดี นิยมยกย่อง มีคนคอยเชื่อฟังรับใช้  คอยเอาอกเอาใจยิ่งนัก แต่ครั้นพอเราหมดอำนาจวาสนา หรือหลุดจากตำแหน่ง จะหาคนสนใจใยดีก็ไม่มี คนที่เคยมาหาก็ห่างหายไป คนที่เคยสนิทสนมก็เงียบหายไปเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียวในโลก เหงา ว้าเหว่ บางคนก็ทำใจได้ บางคนทำใจไม่ได้ถึงกับทำร้ายตัวเองหรือสิ่งของเพื่อระบายอารมณ์

                แต่อย่างไรก็ตาม ความฉลาดของมนุษย์เราก็สามารถแก้ปัญหาได้คือ นำเอาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์มาทำให้มีประโยชน์ได้ โดยนำเอา”ผม”ที่หลุดร่วงหรือตัดทิ้งแล้วบางส่วนมาทำการร้อยรัดมัดดึงให้รวมกลุ่มกลายเป็น  ”วิกผม”ให้สวยงาม สามารถนำมาใช้กับบางคนที่ผมร่วงหรือคนที่สูญเสียความมั่นใจ สามารถนำมาใช้ในการแสดงตกแต่งให้มีบุคลิกแตกต่างกันได้ “วิกผม”ก็สอนเราอีกว่า บุคคลบางคนที่ดูเหมือนกับไร้ค่าหรือไม่มีประโยชน์ ถ้ามีคนฉลาดนำบุคคลเหล่านี้ มาอยู่ในกรอบระเบียบที่ดีงามหรือวินัยที่ถูกต้อง อบรมสั่งสอนให้รวมกลุ่มอยู่ด้วยกันได้ สร้างความสัมพันธ์อันดี ย่อมจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์มากมาย นำพาไปใช้ทำการทำงานได้หลายอย่างเหมือนกับ”วิกผม”

                เรื่อง”ผม”ยังไม่หมดนะลูกนะ ดูให้ดี “ผม”ที่ดกดำยาวสวยงามเป็นมัน ไม่หลุดร่วงแตกปลายหรือแห้งนั้นก็เพราะว่าได้รับการหล่อเลี้ยง โดยมีสารอาหาร มีไขมันเป็นตัวช่วยเสริมเติมแต่ง  ถ้าไม่มีสารอาหารหรือไขมันดังที่กล่าวมาแล้ว “ผม”ก็จะมีสภาพแห้งแตกปลาย ไม่ดกดำสวยงามและหลุดร่วงไป ซึ่ง”ผม”ก็สอนเราอีกแล้วว่า คนเราถ้าจะให้ทำงานได้ผลเรียบร้อยรุ่งเรือง เจริญก้าหน้า ไม่ท้อแท้หรือหมดไฟในการทำงาน ก็ต้องมีแรงเสริม ทั้งการเอาอกเอาใจดูแลทุกข์สุข เอื้ออาทร ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำปรึกษา คอยประคับประคอง หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว คนทำงานก็จะเฉื่อยชา เหนื่อยหน่ายท้อแท้ ไม่คิดก้าวหน้า ไฟในการทำงานก็มอดหมดไป ไม่เห็นความสำคัญของงานเกิดขึ้น ผลสุดท้ายงานก็ไม่ได้ผล เสียหาย งานตกอันดับไป

                         

              นอกจากนี้แล้ว”ผม”ของแต่ละคนยังแตกต่างกันอีกนะลูก บางคน”ผมแห้ง” บางคน”ผมแข็ง” บางคน”ผมมัน” บางคน”ผมอ่อน”  บางคน”ผมหยักศก” บางคน”ผมหยิกงอ” นี่ ”ผม”ก็สอนคนเราอีกว่า คนเรามีหลายประเภทนะ คนไม่มีน้ำใจก็มี คนแข็งกระด้างก็มี คนโอบอ้อมอารีก็มี คนมั่นคงก็มี คนอ่อนแอก็มี คนนิ่มนวลก็มี คนคดไปคดมาใจคอไม่ตรงกับร่องกับรอยก็มี แจกแจงคนไม่หมดหรอกลูก นี่ยกมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น

                          

                “ผม”ของคนเรานี้ ใหม่ๆ ก็สะอาดดี ไม่มีกลิ่นอับ แต่พอนานๆ เข้าก็จะถูกฝุ่นละอองเศษสิ่งสกปรกเกาะจับเหนียวเหนอะหนะมีกลิ่นอับ เราก็ต้องทำความสะอาด”ผม” โดยการสระ”ผม” ถ้าเราไม่”สระผม” ก็จะทำให้”ผม”สกปรก เกิดการหมักหมม ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อตัวเราเองในกาลต่อไป เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความสะอาดที่”ผม”อยู่เสมอ จึงจะเป็นการดี อันนี้”ผม”ก็สอนเราอีกแล้วว่า คนเราเกิดมาใหม่ๆ กิเลส ตัณหา ราคะต่างๆ ยังมีน้อยมาก แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ พบกับสภาพแวดล้อมต่างๆ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้เกิดกิเลส เกิดตัณหา เกิดราคะ อนุสัยอีกหลายร้อยแปดเข้ามาเกาะเกี่ยวจับยึดเหนี่ยวแน่นในจิตใจเรา ซึ่งมีผลทำให้คนเรามีอุปนิสัย พฤติกรรมการแสดงออกเปลี่ยนแปลงไปในทางตกต่ำลงมา จึงต้องมีการชำระชะล้างกิเลส ตัณหาออกเสียบ้าง การชำระกิเลสของเรามิใช่แบบ”สระผม” แต่ต้องชำระโดยการสละแบ่งปัน ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ฟังเทศน์ฟังธรรม อบรมจิตอบรมใจ ทำมงคล 38 ประการให้เกิดที่ตัวเรา ไม่ใช่เกิดที่หนังสือหรือปากท่องจำได้เท่านั้น ทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังแห่งความเพียร จิตใจของเราก็จะสะอาดผ่องใส เยือกเย็น เกิดความสุขที่สัมผัสได้ในปัจจุบันแห่งชาตินี้เองโดยไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า

                “ผม”คนเรามีทั้งสีดำ สีออกแดงน้ำตาล สีบรอนซ์ แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ที่เกิดมา สีของ”ผม”เหล่านี้ก็สอนเราอีกว่า คนเราเกิดมาเพราะกรรมที่ทำมาแตกต่างกัน บางคนมัวเมาลุ่มหลงงมงาย  เชื่ออะไรง่ายๆ หัวปักหัวปำ ฝังใจอยู่อย่างนั้น จะบอกจะสอนก็ยาก ไม่ยอมฟังเหตุผล บางคนก็อยู่ในลักษณะกลางๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  ตัดสินใจไม่เด็ดขาด เหตุผลทางนี้ก็ดี เหตุผลทางนี้ก็เข้าท่า เลยว้าวุ่นใจเหมือนเหยียบเรื่อสองแคม บางคนก็มีเหตุผลที่หนักแน่นคิดพิจารณาไตร่ตรองรอบคอบใคร่ครวญเหตุผลหลายๆ ด้าน โดยคำนึงถึงหลักแห่งความถูกต้องเป็นธรรม แล้วจึงเชื่อ คนประเภทหลังนี่แหละที่จะนำพาประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ในส่วนของครอบครัวก็จะทำให้ครอบครัวมีความสุขเป็นปึกแผ่นแน่นหนามั่นคง

                          

                ถ้าเราสังเกตให้ดี “ผม”ขณะใหม่ๆ เมื่อเรายังเป็นเด็กหรือเป็นหนุ่มสาวอยู่ ผมก็ยาวสวยงามดกดำสีสดใส แต่เมื่อเราเริ่มมีอายุมากๆ เข้า “ผม”ก็เริ่มเปลี่ยนสีที่เราเรียกว่า”ผมหงอก” ซึ่งมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม แสดงภาวะของผู้สูงอายุ นี่”ผม”ก็สอนเราอีกครั้งว่า คนเราเมื่อยังเป็นเด็กเป็นหนุ่มสาวอยู่ มองดูอะไรๆ ก็สวยงามร่มรื่นใจ โลกใบนี้เบิกบาน อีกทั้งกำลังวังชาก็มากมายเข้มแข็ง แต่พออายุมากเข้า มองดูอะไรๆ ก็ไม่ค่อยจะสดใส เงียบเหงาวังเวง ดำเนินชีวิตแบบง่ายๆ เรียบๆ เรี่ยวแรงและกำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลงไป เหนื่อยก็ง่าย ต้องคอยพักบ่อยๆ ทำให้เห็นความเป็นจริงของชีวิตว่า ต้องเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปได้ อย่ามัวแต่แข่งขันชิงดีชิงเด่นอิจฉาริษยากันอยู่เลย เสียเวลาเปล่า รีบแสวงหาความดีคุณธรรมที่เป็นกำไรของชีวิตใส่ตัวเสียเถิด แก่ชราไปจะได้ไม่เสียทีที่เกิดมากับเขาชาติหนึ่ง

                              พยัญชนะ ”  ข ”  

                ขน” คำนี้ตรงกับภาษาบาลีว่า”โลมา” นั่นเอง  “ขน” เกิดขึ้นกระจัดกระจายทั่วไปทั้งร่างกายของเรานับไม่ถ้วน”ขน”นี้ขึ้นในที่แต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบริเวณนั้นๆ มีลักษณะและหน้าที่การใช้งานอย่างไรด้วย “ขน”เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นทั้งในคนและสัตว์ ธรรมชาติได้ตกแต่งให้มาเช่น “ขนคิ้ว” “ขนตา” “ขนจมูก” “หนวด” “เครา” ต่างก็ทำหน้าที่ปกป้องรักษาอวัยวะที่สำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่อวัยวะนั้นๆ ได้ “ขน”ก็สอนคนเราเหมือนกันว่า คนเรามีอยู่กระจัดกระจายทั่วๆ ไปมากมาย หลายชาติเชื้อเผ่าพันธุ์ อยู่ในถิ่นที่เจริญก็มี อยู่ในถิ่นที่สมบูรณ์พอประมาณก็มี อยู่ในถิ่นทุรกันดารยากแค้นแสนเข็ญกลางป่าเขาลำเนาไพรก็มี แต่ถึงอย่างไรเมื่อเราเกิดมาทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ทุกๆ คน หน้าที่ที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ตามเศรษฐกิจและสังคม คนใดเกิดมาไม่ทำหน้าที่ต้องถือว่า”แย่กว่าสัตว์”แล้ว เพราะสัตว์ต่างๆ ที่เกิดมาในโลกเรานี้ทุกตัวทำหน้าที่ของมันอย่างดีทั้งๆ ที่เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มีความคิดอ่านหรือสติปัญญาเท่าเทียมกับคนเรา ขนาดสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เราเรียกว่า”จุลินทรีย์” ซึ่งต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจึงจะเห็น มันยังทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา คนพิการยังหางานทำ พยายามฝึกฝนสร้างอาชีพหาเลี้ยงตนต่อไป คนเราที่สมบูรณ์ทั้ง 32ประการ ถ้ามัวงอมืองอเท้าไม่ทำอะไร เกิดมาก็ไร้ค่า ดู”มด” “ผึ้ง” “ปลวก” ตัวเล็กๆ เป็นตัวอย่างซิ ร่วมมือกันทำงานสร้างรวงสร้างรังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขยันขันแข็งแบบสัตว์พวกนี้ได้รับรองว่า ชีวิตคนเรานี้ไม่มีทางยากจนเด็ดขาด อย่าลืมว่า”คนเราเกิดมาทุกคนไม่มีอะไรติดตัวมา นอกจากร่างกายที่เป็นตัวของตนเท่านั้น” ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเกิดขึ้นภายนอกมีมาในภายหลัง ต่างหาก แต่เรากลับถือว่าสำคัญจึงพากัน”ขนเข้า” มากกว่า”ขนออก”  มีคำคมอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า”ขนออกนั้นเบา ขนเข้านั้นหนัก” ลองนำคำคมบทนี้ไปพิจารณาให้ดี ก็จะเห็นว่ายังมีลู่ทางที่ถูกต้องของชีวิตที่”พระพุทธเจ้า”ได้ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่าง

     กลับมาเรื่อง”ขน” อีกที เวลามี”ขน” ดูๆมันก็ปรกติดี ถ้าไม่มี”ขน” นี่ซิ ต้องแปลกแน่ๆ ยังแถมจะทำให้ระบบร่างกายของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย “ขน” ก็สอนเราอีกแหละว่า คนเราเกิดมาต้องเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามปรกติ ถ้าไม่มีคนเราเกิดมาบนโลกนี้ต้องแปลกเป็นแน่ เพราะคงไม่มีใครเกิดขึ้นมาทำคุณงามความดีหรือเกิดมาทำความวุ่นวายให้โลกได้สนุกสนาน ไม่มีมหาบุรุษเกิดขึ้นมาเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ ไม่มีคนเกิดขึ้นมาแย่งชิงทำร้ายกันและกัน โลกของเราก็ต้องเหมือนวัตถุก้อนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในจักรวาลไม่มีความหมายอะไร เพราะฉะนั้นเวลาเห็นคนก็ต้องทำทำใจให้ได้ว่า”เขาเหล่านั้นเป็นไปตามปรกติของเขาเอง เราจะไปห้ามขัดขืนหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขานั้นยาก เว้นไว้เสียแต่ว่าเขาเองมีอุปนิสัยที่พอจะบอกสอนได้หรือไม่ รวมทั้งสนใจและเชื่อฟังพร้อมที่จะนำไปปฏิบัติตามที่เราสอนเขา” นั่นแหละเราจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอและพฤติกรรมของเขาให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม สร้างความเจริญให้แก่ตัวเขาเอง รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดจนสังคมให้ดีขึ้นมากกว่าเดิม

       “ขน” นี้บางคนไม่ชอบก็พยายามถอน“ขน” ออก เขาบอกว่ามีแล้วเกะกะไม่สวยงาม ต้องถอนออกเสีย แน่นอนขณะถอน “ขน”  ก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา ตอนนี้ “ขน” ก็สอนเราอีกว่า เวลาเราไม่ชอบใจใครก็ตาม คิดจะให้เขาไปเสียให้พ้นหรือให้เขาเจ็บไข้ได้ป่วยล้มหายตายจากไปเลยก็ตาม ความคิดเช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดความเจ็บแค้นแน่นหน้าอกขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลา พาลให้เราอารมณ์เสียเกิดการหลั่งสารที่เป็นพิษขึ้นในร่างกาย สุดท้ายร่างกายเราก็ทรุดโทรม หน้าตาก็หมองเศร้าความทุกข์เผารนจิตใจเราเอง แทนที่ความเจ็บแค้นใจของเราจะไปทำให้เขาพินาศฉิบหายไปอย่างที่เราคิด แต่ไอ้ความเจ็บแค้นเคืองใจของเรากลับมาทำให้เราเองเสื่อมสูญเสียหายเอง เพราะฉะนั้นคนเราจึงต้องระมัดระวังในเรื่องความคิดหรือการคบคน เหมือนดังคำคมที่ว่า”อยู่กับมิตรให้ระวังเจรจา อยู่เอกาให้ระวังความคิด”

     เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงไป เช่น”ร้อนไป” “หนาวไป” หรือเวลาตื่นเต้นตกใจ “ขน” ของเรามีการเปลี่ยนแปลงคือ”ขนลุก”ตั้งชูชัน หรือบางที “ขน” เอนนอนราบเรียบตามปรกติ “ขน” ก็สอนเราอีกว่า เวลามีอะไรต่างๆ มากระทบเช่น ได้รับคำนินทา คำดุด่า คำชมเชยยกยอปอปั้นเข้า ได้รับคำยุยงส่งเสริมหรือเย้าแหย่ คนเราก็มีอาการเหมือน “ขน” ลุก คือเกิดอาการต่อต้านหรืออาการตอบสนองเหมือนกัน เช่น ได้รับคำด่าหรือโดนตำหนิติเตียน ย่อมเกิดอารมณ์ไม่ชอบใจไม่พอใจ ขัดเคืองใจ หน้าตาถมึงทึง ถ้าเป็นคนมีเหตุมีผลคือ “ผิด” ยอมรับว่า”ผิด” เรื่องก็เรียบร้อย แต่บางคนดื้อรั้นอวดดีไม่ฟังเหตุผล เรื่องก็จบไม่ลงอย่างแน่นอน หรือพอได้รับคำชมเชยย่อมเกิดอารมณ์พอใจชอบใจยิ้มแย้มแจ่มใส ขออะไรเป็นให้ได้ทั้งนั้น ไม่มีความคิดคัดค้านหรือชักช้าอืดอาดเสียเวลา

   “ขน” มีทั้ง ”ขนสั้น” ”ขนปานกลาง” ”ขนยาว” ”ขน” เหล่านี้ก็สอนเราอีกว่า คนเรามีทั้งคนคิดสั้น คนคิดปานกลาง คนคิดไกล คน 3ประเภทนี้ ความคิดความอ่านหรือพื้นฐานแตกต่างกันลิบลับเหมือนฟ้ากับดินเลยทีเดียว คนคิดสั้นมีลักษณะหุนหันพลันแล่น หูเบาเชื่อคนง่าย ไม่ฟังเหตุผล อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหร้าย แก้ปัญหาไม่ถูก บางทีถึงกับทำร้ายตัวเองให้ได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตก็มี คนคิดปานกลาง มีลักษณะทันคน แคล่วคล่องว่องไว กระฉับกระเฉง แก้ปัญหาตามจุด “ไม่พะวงถึงอนาคต ไม่จับจดกับอดีต มีชีวิตกับปัจจุบัน” รู้เท่าทันความเป็นจริง คนคิดไกลมีลักษณะเหม่อลอย ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฝันหวานปล่อยอารมณ์และเวลาให้ว่างเปล่าไร้ประโยชน์ มัวสร้างวิมานในอากาศ วาดปราสาทกับสายลม หลงชื่นชมกับรูปเงา มายึดเอาแต่ความฝัน คุณค่าอนันต์ย่อมผ่านเลยไป เมื่อลูกรู้จักคนว่ามีลักษณะอย่างนี้แล้ว จงพิจารณาให้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไร? ควรแก้ไขตัวเราหรือไม่? แม้แต่การคบคน เราก็ต้องคบให้ถูกด้วย เพราะเราคบคนเช่นใด ย่อมมีแนวโน้มตามไปกับเขาเช่นนั้น เว้นเสียแต่ว่าเราเป็นคนหนักแน่น มีหลักยึดเหนี่ยวที่ถูกต้องนั่นแหละ เราจึงจะสามารถเอาตัวรอดไปได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือ”ขน” สอน ”คน” ไว้ล่ะลูก

                                 พยัญชนะ “ ”   

            “คน” เดิมที “คน” นี้เขียนด้วย “ฅ”(ตัวหัวหยัก) แต่ปัจจุบันนี้ใช้ “ค” ควาย แทน  “ฅ”(ฅน) ก็เลยสับสนวุ่นวายใกล้เป็น ”ควาย” เข้าไปทุกที “คน”ในยุคปัจจุบันนี้ ตั้งแต่พ่อจำความได้ สมัยนั้นรู้สึกจะไม่ค่อยทันสมัย เครื่องมือเครื่องใช้ก็ยังมีน้อย สิ่งยั่วยวนให้บันเทิงรื่นเริงใจก็มีนิดหน่อย เพลงก็นิ่มนวลหวานหู เนื้อหาของเพลงก็ไพเราะกินใจ นักร้องก็มีน้อย แต่เดี๋ยวนี้ลูกลองดูไปรอบๆ ตัวเราซิ ในสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายก่ายกอง “วัตถุเจริญไกล แต่จิตใจกลับตกต่ำ” พ่อจำได้ว่าเวลาอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือฟังข่าวทางวิทยุหรือดูรายการจากโทรทัศน์ วันๆ หนึ่งต้องมีข่าว”ฆ่า”กันไม่ต่ำกว่าหนึ่งข่าว พ่อก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมคนเราต้องมาฆ่ากันด้วยเล่า? ฆ่ากันทำไมไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าอยู่แล้ว คนเราปัจจุบันนี้ไม่ถึงร้อยปีก็ตาย ฆ่ากันทำไม? คนเราปัจจุบันนี้ทำไมถึงมีจิตใจย่ำแย่ลงทุกวันก็ไม่รู้

   นอกจากข่าวฆ่ากันแล้ว ยังมีข่าวที่เกิดจากความประมาท ความมัวเมา ความอยากได้ การฉกชิงวิ่งราว การแย่งชิงอำนาจ เฮ้อ…อ่านแล้วก็เศร้าใจ คนเราเกิดมา น่าจะทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ สร้างโลกเราให้เจริญรุ่งเรือง รักษาทรัพยากรธรรมชาติ ให้ความรักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สร้างความเข้าใจอันดี ไม่ให้มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น จนทำให้เกิดปัญหาคนยากจนกับคนร่ำรวยขึ้นมา โลกเราก็จะสงบร่มรื่นแจ่มใส สัตว์ป่าก็คงเหลืออยู่มากมายในป่าอย่างร่มเย็นเป็นสุขไม่ถูกรบกวน

                             (ยังมีต่อครับ..........) 

 

หมายเลขบันทึก: 371879เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2010 09:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (39)
ณิชกมล รอดพาล ม4/6 เลขที่27

ดีมาก เพราะคำพ่อหรือคำแม่ที่ได้สั่งสอนลูกๆถือว่าเป็นพรที่ประเสริฐอย่างหนึ่งของลูก

คือการที่พ่อแม่สอนเรานั้นท่านต้องการให้เราเติบโตมาเป็นคนที่ดีของพ่อแม่และสังคมไทยต่อไป

นางสาว ณิชกมล รอดพาล ชั้นม4/6 เลขที่ 27

ด.ช.อภิชาติ ยุวบุตร ม.2/9 เลขที่ 51

อ่านแล้วเพลินดี รออ่านพยัญชนะตัวต่อไปอยู่นะครับ

อ่านแล้วให้แง่คิดดีดีค่ะ !

นางสางทิพปภา บัวทอง ม.4/2

อ่านแล้วให้แง่คิดดีดีค่ะ !

นางสาวทิพปภา บัวทอง ม.4/2

ด.ญ.ญาณิศา ธรรมปัญญาสกุล

ดูแล้วเพลินดี

อ่านแล้วเพลินมากครับ

อ่านเเล้วสนุกมากค่ะ

ด.ญ.คุณิตา อนุเคราะห์ ม.2/1 เลที่ 20

ได้ความรู้มากมายเลยคะ

ด.ญ. พิมพกานต์ ปานจินดา เลขที่30 ชั้น ม.2/1

ด.ญ.สุทัตตา ภักดีเรือง

ได้ความรูเยอะมากเลยค่ะ

ด.ญ.สุทัตตา ภักดีเรือง ม.2/1 เลขที่ 35

ได้ความรู้

นายอรรถกฤษณ์ สุขสมอรรถ ม.4/3

ได้ความรู้เยอะดีครับ

ได้ความรู้มากค่ะ

ด.ญ.เจตสุภา วงษ์เณร ม.2/1 เลขที่21

ด.ญ.เกษราภรณ์ บิลมาศ ม.2/1 เลขที่ 19

อ่านแล้วสนุกมากค่ะ

ด.ญ.น้ำทิพย์ ตนายะพงศ์ ม.2/1 เลขที่27

สนุกมากค่ะ

อ่านแล้วเพลินดี

เกษราภรณ์ บิลมาศ ม.2/1 เลขที่ 19

สนุกมากค่ะ

ด.ญ.เกษราภรณ์ บิลมาศ ม.2/1 เลขที่ 19

เพียงรวี นันทกิจโกศล ม.2/1 เลขที่31

อ่านเเล้วมีแง่คิดที่ดีอยู่มากมายเลยค่ะ

สิทธา สายฟ้า ม.2/1 เลขที่17

อ่านแล้วเพลินดีครับ ได้ความรู้ด้วยครับ

ขคบดี จันทร์ดา ม.2/7 เลขที่1

ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

ด.ช.นนทวัฒน์ ชวนวัน

ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

ด.ช.นนทวัฒน์ ชวนวัน เลขที่ 12 ม.2/1

สนุกมากคะ

อ่านๆๆไปแล้วเพลินดีเหมือนกัน

ได้ทังความรู้

และๆๆๆ

ความสนุกเลยคะ!!!

^^

สนุกมากครับ

ด.ช.ครองเมือง แนนไธสง ม.2/7

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ

พัทธดนย์ ครื้นจิต

สวัสดีครับ ผมเลขที่ 21

ได้ความรู้มากเลย ครับ

ด.ช.ธนวรรธน์ สนธิ ม.2/1

ได้ความรู้มาก ๆๆ

555+ อิอิ โฮะ ๆๆๆ ฮ่าาา หุหุหุ คริ คริ ฮุฮุฮุ ก๊ากกกกก

ด.ญ.วรรณกาญจน์ ศรีคำ ม.2/1

ด.ช.วรพล ท้วมชาวเพชร ม.2/7 เลขที่4

ดีครับได้ความรู้มากขึ้น

ด.ช.จิรพงษ์ ชัชรินทร์กุล ชั้น 2/1 เลขที่ 4

สนุกคับๆ แต่กว่าจะอ่านจบอิอิ

สวัสดีครับ

นทีกานต์ พานิชเจริญ ม.2/7 เลขที่2

นทีกานต์ พานิชเจริญ ม.2/7 เลขที่2

สนุกม๊ากมาก เลยคั๊บ ^ ^ "

ด.ช.สถาพร จิตรถนอม ม.2/7

ขอบคุณครับ

วีรยุทธ ปรางค์อ่อน เลขที่5 ชั้นม2/7

อ่านแล้วได้ความรู้เรื่องธรรมะมากขึ้น

หนุกค่า

ด.ญ.หฤทัย  สายสกล   ม.2/7

 

แวะมาทักทายแล้วนะคะคุณครูที่รัก

ด.ญ.ปิยวรรณ ทองสุขธรรม 1/2

สวัสดีค่ะ หนูแวะมาทักทายแล้วนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท