เมื่อพระถูกตุ๋น..โจรนะชั่วแน่ แต่วงการสงฆ์ก็มืดบอด


พระให้สินบนโจร....

๐เมื่อ(เช้าวันนี้)วันที่ 7 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 9.00 น. ผมมีคดี ไปว่าความที่ศาลแขวงนครศรีธรรมราช ไปคดีอื่นนะครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงพระ...ตามที่โปรยหัวไว้

โดยปกติ โรงพักและศาล มักไม่ค่อยเห็นพระสงฆ์องค์เจ้า เข้าไปในที่ดังกล่าว นานๆจะเห็นพระไปเป็นพยานศาล แต่วันนี้ทำให้ผมสงสับยิ่งนัก เห็นพระสงฆ์ห่มจีวรนั่งรออยู่หน้าห้องพิจารณาคดีกันประมาณ 12-15 รูป(ไม่มีเวลานับครับ)

ผมสงสัยทันทีว่า วันนี้ ณ ศาลแขวงนครศรีฯ คงมีคดีแปลกๆ ให้ลือกันทั้งศาลอีกแล้ว  แต่ผมไม่สนใจอะไรมากนัก  คงทำหน้าที่ของผมไป

 คือเข้าไปนั่งรอศาลในห้องพิจารณา เพื่อรอทำหน้าที่ของผม

บังเอิญมีทนายความรุ่นน้องผมสัก2-3 ปี แต่คุ้นเคยกัน เคยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันบ่อยๆ ตามประสาคนอาชีพเดียวกัน ผมถามว่ามาคดีอะไร หรือ? เพื่อหารือกันว่าเมื่อศาลออกนั่งบัลลังก์ คดีไหนจะได้รับการพิจารณาก่อน-หลัง เป็นเรื่องปกติของทนายที่จะเตรียมและกะเวลาในคดีของตน

ทนายท่านนั้นหันหน้าไปทางกลุ่มพระสงฆ์ แล้วบอกผมว่ามานัดพร้อม คดีอาญา โน้นแน่ะผู้เสียหาย ทนายโบ้ยปากไปที่กลุ่มพระสงฆ์

เมื่อศาลออกนังพิจารณา คดีผมศาลพิจารณาเป็นคดีแรก เมื่อเสร็จแล้ว ผมออกมานั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งมีกาแฟบริการฟรีอยู่ด้วย บังเอิญเจอทนายรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่คุ้นเคยกัน ผมถามว่าน้องมาคดีอะไร เสร็จแล้วหรือ?

น้องคนดังกล่าวบอกว่า ไม่ได้มาว่าความ แต่ช่วยขับรถยนต์พาท่านเจ้าอาวาสมาขึ้นศาล ผมสอบถามตามประสา

น้องทนายคนดังกล่าวเล่าว่า เขาไม่ได้เป็นทนายในคดีนี้หรอก ขอให้อัยการเป็นโจทก์ว่ากันไปเถอะ  แต่ที่มานี่ ก็เพราะท่านกำนันตำบลท่าศาลา วานให้ช่วยขับรถพาพระมาศาล ในฐะนะที่พระเป็นผู้เสียหายในคดีฉ้อโกง

น้องทนายเล่าผมว่า จำเลยตัวแสบคนดังกล่าว ซึ่งก็เคยบวชพระมาเช่นกัน ต่อมาเสือกมีเมีย จึงถูกจับให้เปลื้องผ้าเหลือง บัดนี้ไปอยู่อำเภอท่าศาลา เนื่องจากมีเมียสาวสวยอยู่ที่นั้น

ต่อมาเมื่อเป็นฆาราวาส ก็ออกไปหาเจ้าอาวาส และพระผู้ใหญ่ ในอำเภอท่าศาลา และอำเภอใกล้เคียงนับ 10-20 วัด โดยอวดอ้างว่า เขาสามารถติดต่อผู้ใหญ่ในวงการสงฆ์ให้ได้เลื่อนสมณศักดิ์ทางสงฆ์ ซึ่งผมก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่า หากเป็นข้าราชการ จะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ใหญ่โต...โอหังขึ้น

มีพระสงฆ์องค์เจ้าหลงเชื่อ นับ 20-30 รูป เสียเงินให้จำเลยคนดังกล่าวไปรายละ 50,000-100.000 บาท  แต่พระบางรูปอายฟ้าดิน ไม่ยอมมาแจ้งความ ที่มาแจ้งความก็มีเท่าที่เห็นนี่แหละ คือ 10 กว่ารูป

ผมนำเรื่องนี้มาเล่า มิได้ตำหนิใคร แต่ถ้าหากศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิด ผมไม่ได้ตำหนิโจรนักต้มตุ๋นคนนั้นหกรอก เพราะได้ชื่อว่าโจร เขาก็หากินชั่วๆทั้งนั้นแหละ

แต่ที่ติดใจ...ก็สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ วงการพระสงฆ์ของเรา ยังมีพระสงฆ์องค์เจ้าเชื่อกันว่า มีการซื้อ-ขายตำแหน่ง หรือการซื้อขายสมณศักดิ์นั้นมีอยู่จริง แต่บังเอิญนักต้มตู๋นคนนี้มิใช่ของจริง แต่เป็นแค่ประเภท หลอกเอาเงินพระกันดื้อๆ......

เอาเป็นว่า หากในวงการพระสงฆ์ ไม่เคยมีการวิ่งเต้นเสียเสียทอง เพื่อซื้อสมณศักดิ์ พระเหล่านั้นคงไม่เสียฉลาด(เหลือแต่เขลา)แก่นักต้มตุ๋นคนนั้นหรอก   

 เข้าใจว่าต้องมีอยู่จริง แต่ถ้าหากวงการสงฆ์บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยมีการวิ่งเต้นซื้อด้วยเงินกันเลย เพียงแต่พระเหล่านั้นดันไปเชื่อนักต้มตุ๋มรายนี้  ก็คงต้องปฎิรปวงการสงฆ์อีกเช่นกัน (คือเสียทั้งขึ้น-ทั้งล่อง)

พระคือผู้สละแล้วซึ่งกิเลส เปลื้อง ปลด ปลง ซึ่ง รูป รส กลิ่น เสียง

สละแล้ว เรื่อง กิน,กาม.เกียรติ.....แต่กรณีนี้ดันไปซื้อยศซื้อตำแหน่ง....

พระให้สินบนเจ้าพนักงานก็มีความผิดกฎหมายอาญา....

แต่พระให้สินบนโจร......นี่ซิจะเอาอย่างไรดี

หากศาลเชื่อตามฟ้องของโจทก์ คดีนี้จำเลยผู้หลอกพระต้องเข้าคุกไปรับใช้กรรม

ส่วนพระผู้ให้สินบนโจร... ผู้ดูแลวงการสงฆ์จะแก้ปัญหาอย่างไร?

ใครรู้วิธีช่วยตอบหน่อยก็แล้วกัน๐

หมายเลขบันทึก: 365247เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2010 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 14:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

พระคือผู้สละแล้วซึ่งกิเลส เปลื้อง ปลด ปลง ซึ่ง รูป รส กลิ่น เสียง

สละแล้ว เรื่อง กิน,กาม.เกียรติ...

ผมก็ว่าเช่นนี้เหมือนกัน....แต่เมือเข้าไปอยู่ในวงการแล้วจะรู้ความจริง

ผมบวชมาแล้ว

ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท