ในการเดินทางทัศนศึกษาของเรากล่มผู้บริหารการเปลี่ยนตามที่ได้เล่ามา ก็เป็นเรื่องปกติที่ใช้รถทัวร์ในการตระเวนเดินทางจากยะลาถึงสระแก้ว เป็นระยะทางพันกว่ากิโลและไม่แวะพักกลางทาง(นอนบนรถ) และเป็นเรื่องปกติเหมือนกันที่ทางบริการทัวร์เขาจะเตรียมทั้งหนัง ทั้งรายการตลก ทั้งคาราโอเกะให้พวกเราหายเบื่อ แต่อันเนื่องมาจากผุ้เดินทางครั้งนี้เป็นผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ และมีโต๊ะครูร่วมเดินทางไปด้วย ดังนั้นการเปิดเทปวิดิโอจะเป็นหนังหรือตลกจะะถือเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับพวกเรา ส่วนเพลงและคาราโอเกะนั้นไม่อยู่ในทางเลือกของพวกเรา ดังทางหนึ่งที่พวกเราเลือกทำคือใช้ไมค์พูดคุยสร้างความสนุกสนานไปเรื่อยๆ และในความความสนุสนานนั้นจะมีความรู้ไม่ขาดสาย
รถที่พวกเราใช้เดินทางครั้งนี้เป็นรถทัวร์สองชั้นผมกับอ.คอเหล็ดนั่งชั้นล่าง บางครั้งผมก็ขึ้นไปพูดชั้นบนร่วมเสวนากับคณะฯ ก็มีบางครั้งผมใช้ไมค์พูดจากชั้นล่าง
ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ มอย. ที่ร่วมเดินทางกับเขา เขาก็เลยยกให้เป็นผู้รอบรู้ทั้งๆที่ผมรู้สึกตัวว่าผมไม่ใช่เลย แต่มานึกดูอีกที ใช่เนาะที่ว่าอย่างนั้น เพราะตรงหน้าผมมีโน็ตบุค และโน็ตบุคของผมต่อเน็ทได้ตลอดทางด้วย ดังนั้นเมื่อเขามีปัญหาอะไรเขาจะถามผม ถ้าผมรู้ผมก็จะตอบถ้าผมไม่รุ้ผมก็บอกว่าไม่รู้ แต่เมื่อผมค้นหาจากเน็ทแล้วผมก็สามารถตอบเขาได้
อีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาว่า การเดินทางของเราครั้งนี้ดีมากเลย เพราะมีเบรคอยู่ด้วย ผมก็งงๆ เขาเล่าต่อว่าที่ว่าเบรค คือ เมื่อพวกเราทำไรเกินเลยจะมีผมเป็นคนเบรค ผมก็ยังงงอยู่ดี เลยต้องมาพิจารณาการกระทำของตัวเอง
สิ่งแรกที่ผมผสมลงโรงกับการเสวนากับเขา คำว่า ชูรอ ที่ อ.จารุวัจน์ชอบใช้มาก จริงๆโดยความหมายของคำนี้ไม่ยากเย็นอะไร หมายถึง ประชุม นั้นหมายความว่า เราจะทำอะไร เราต้องประชุมกันก่อนแล้วจากมติที่ประชุมก็ดำเนินการตามมติ แต่ที่นี้คำว่า ชูรอ ไปฟ้องกับคำว่า ซูรอ เลยทำให้บางคนโดยเฉพาะผู้บริหารที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน บนเวลาเสวนาบนรถในวันนั้นเลยต้องมีการอธิบายของคำว่า ซูรอ ที่มีขึ้นในบ้านเรา
ระหว่างการเดินทางนั้นมีเรื่องเล่าสนุกๆ ชวนหัวเราะมากมาย สนุกสนานมากเลยทำให้ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าพวกเราจะไปแต่งเรื่องเพื่อให้หัวเราะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะเข้าข่ายที่นบีสั่งห้าม ผมก็ขอพูดบ้างและผมก็อ่านหะดีษนบีที่ว่า
"หายนะที่ยิ่งใหญ่(ตกนรกชั้นต่ำสุด) กับผู้ที่พูดด้วยคำพูดที่ทำให้คนหัวเราะกับเขาโดยการโกหก หายนะยิ่งใหญ่แก่เขา หายนะยิ่งใหญ่แก่เขา" (บันทึกโดย อัลบุคอรอและมุสลิม)
ผมว่า ผมกลัวว่าพวกเราจะทำเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินจนเลยเถิดเลยยกเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นเพื่อให้คนหัวเราะ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วเราก็จะเป็นผู้หนึ่งที่ตกนรก แต่ถ้าเขาหัวเราะเรื่องที่เราเล่าและเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็ไม่ถือว่าผิด เพราะเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับท่านนบีและท่านอุมัรฺ รอฏิฯ
อันนี้คงเป็นเบรคที่สอง
ในการเดินทางพวกเราเกือบจะทุกคนมีกล้องติดตัว อาจเป็นเพราะทุกวันนี้กล้องราคาถูกมาก อย่างผมนี้มีสองกล้อง นอกจากกล้องที่มีมาติดกับมือถือแล้ว ผมยังพากล้องดิจิตอลฯที่หลงเหลือจากอุบัติเหตในวันนั้นพาไปด้วย ทำให้พวกเราถ่ายรูปกันพอสมควร ผมก็ถ่ายรูปแต่สวนใหญ่แล้วเป็นรูปเพื่อเป็นข่าว อย่างนั้นก็ตามทำให้ผมนึกถึงหะดีษนบีหะดีษหนึ่งที่กล่าวว่า
"การลงโทษอย่างรุนแรงที่สุดของคนในวันกิยามะฮ์คือคนถ่ายภาพ" (บันทึกโดย อัลบุคอรีและมุสลิม)
ถ้าจะแปลง่ายๆตามที่ผมแปลมานี้(จริงผมให้ google แปล) เราเป็นคนถ่ายรูปอยู่ในกลุ่มที่ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง แต่คำว่า مصور ในที่นี้บรรดาผู้รู้ได้ให้ความหมายหลายอย่าง ผมก็เลยเล่าความเป็นมาของการห้ามการถ่ายรูป เริ่มตั้งแต่สมัยนบี นูฮฺ
รูปในที่นี้ เดิมที หมายถึง รูปปั้น ที่ใช้บูชา หรือรูปปั้น เพื่อป้อกันไม่ให้เกิดการบูชา และมีผุลามาอฺบางคนบอกว่ารูปวาดก็ไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาวาดรูปเพื่อให้ระลึกถึงคนๆนั้น และอาจนำไปสู่การบูชาในที่สุด ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้ รูปถ่ายก็ไม่ได้ถ้ารูปนั้นไปสู่การบูชา
บางคนเขาว่ารูปวาดกับรูปถ่ายมันแตกต่างกัน รูปวาดนั้นเกิดจากการปรับแต่งเขียนของมนุษย์แต่รูปถ่ายนั้น ไม่ได้ปรับแต่งอะไร เหมือนกับรูปในกระจกเพียงแต่ในกระจกมันไม่ติด
ดังนั้น ผมว่า ถ้ารูปถ่ายไปเพื่อเป็นข่าว เป็นหลักฐาน ไม่ผิด คือ สามารถทำได้ แต่ถ้าถ่ายไปเพื่อเก็บไว้ให้ระลึกถึงที่จะนำสู่การบูชาได้นั้น ไม่น่าจะทำได้ ส่ว่นรูปวาดนั้น วาดได้เฉพาะรูปสิ่งของ ต้นไม้ รูปคนและสัตว์ อุลามาอฺเขาว่าทำไม่ได้
และนี้คงเป็นเบรคที่สามอย่างที่เขาว่า
การเบรคแบบนี้ผมว่าไม่ทำให้รถหยุดหรอกครับแต่กลับทำให้ขบวนรถคันนี้เดินหน้าต่อไปตามแนวทางได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
อัลฮัมดุลิลละฮฺมากครับสำหรับความรู้เสมือนหนึ่งได้เดินทางไปกับเบรคของอาจารย์ในครั้งนี้ด้วย
ดูแลสุขภาพด้วยครับ
น่าจะเรียกว่า เบรกติดสวรรค์ครับ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ได้รับคำชื่นชมจากหลายฝ่ายเลยครับ
ขอบคุณมากครับทั้ง
อ.