สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ IT
(Information Technology)
ได้มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามลำดับ
ขณะนี้ก็จะมีวิถีของการพั
ฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากกว่ายุคใดๆที่ผ่านมา
ซึ่งทั้งนี้ต้องระดมสมอง
สรรพกำลังทั้งมวลเพื่อที่จะให้เกิดการพัฒนาประเทศ
เพื่อการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีโลก
ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว
โดยมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีผลต่อภาคธุรกิจการศึกษา
สังคม ซึ่งเน้นการให้ความสะดวกในด้านการบริหารจัดการ
และให้เกิดความคล่องตัวต่อการดำเนินงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
จึงได้วางนโยบาย e-Thailand ขึ้น เพื่อเปิดประตูสู่การพัฒนาประเทศ
ทั้งนี้ได้เน้นนโยบายหลักทางด้านสังคมเพื่อลดช่องว่างทางสังคม
เปิดเสรีทางการค้าอิเล็กทรอนิกส์ นโยบายระหว่างประเทศ
ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ หนึ่งในนโยบายของ e-Thailand
คือการส่งเสริมพัฒนาสังคม สิ่งที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ e-Education
เป็นการให้การศึกษาแก่มนุษย์ให้มีความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในทุกส่วนงานในวงการไอทีซึ่งมีการนำหลักการ
2 ประเภทใหญ่ๆดังนี้คือ
-
e-MIS ด้านการบริหารงาน เป็นการนำไปใช้
ด้านการบริหารงานและการจัดการศึกษา เน้นด้านการจัดพิมพ์เอกสาร
ทำฐานข้อมูล การประมวลผล เพื่อจัดทำสารสนเทศทางการศึกษา
สำหรับการประกอปการตัดสินใจของผู้บริหารในทุกระดับ
-
e-Learning
เป็นการนำไอทีไปใช้ในด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพด้านการเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบ
เช่น
การนำมัลติมีเดียมาใช้เป็นสื่อการสอนของครู/อาจารย์ให้นักเรียนเรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเอง
ด้วยการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตการเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม
การนำไอทีมาใช้เพื่อการเรียนการสอนของ e-Learning ในยุคปัจจุบัน
เป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นเครื่องเดียวเรียกว่า
stand-alone หรือการเรียกผ่านเครือข่ายเชื่อมโยงสู่อินเตอร์เน็ต
เพื่อการค้นคว้าหาข้อมูลแลกเปลี่ยนความรู้บนเครือข่ายซึ่งที่ผ่านมาเราใช้สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบของสื่อประสม
(Multimedia) ใช้ในการนำเสนอลงบนแผ่นซีดี-รอมโดยใช้ Authoring Tool
ทั้งภาพและเสียงเพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interactive)
ให้กับผู้เรียนซึ่งสื่อเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ปัญหาที่ประสบก็คือเนื้อหาที่มีอยู่ไม่ตรงตามหลักสูตรการศึกษานอกจากนี้ยังมีการละเมิดลิขสิทธิ์ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถพัฒนาสื่อได้อย่างมีคุณภาพ
ในระยะแรกๆเราได้มีการใช้สื่อในหลายประเภทเพื่อการติดต่อรับ-ส่งข้อมูลทางด้านการศึกษาที่เรียกว่า
การเรียนทางไกล แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
-
การเรียนการสอนทางไปรษณีย์ถือว่าเป็นยุคแรกเริ่มของการเรียนการสอนทางไกล
มีการับ-ส่งบทเรียนผ่านทางไปรษณีย์ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลามากในการติดต่อกันแต่ละครั้ง
จึงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการเรียนรู้เพราะเอกสารอาจสูญหายระหว่างทางได้
- การเรียนการสอนผ่านทางวิทยุกระจายเสียง
เรามีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาเป็นเครื่องมือที่เชื่อมต่อไปยังภูมิภาคทั้งที่เป็นของกระทรวงศึกษาธิการ
ทบวงมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาหลายแห่ง
-
การเรียนการสอนผ่านทางโทรทัศน์และเครือข่ายดาวเทียมของกรมการศึกษานอกโรงเรียน
กรมสามัญศึกษาที่ร่วมกับมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมไทยคม
สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นวิธีการของการเรียนการสอนที่เราเคยใช้กันมา
จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการใช้อยู่
แต่ด้วยปัจจุบันไอทีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก
เราสามารถติดต่อกับคนทั้งโลก
สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เป็นขุมความรู้อันมหาศาล ด้วยวิทยาการเพื่อใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้
อันเป็นแหล่งทรัพยากรที่เปี่ยมด้วยคุณค่ามากมาย
ดังนั้นการปรับรูปแบบการเรียนการสอนในรูปแบบ e-Learning จึงเกิดขึ้น
อีกทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติยังสนับสนุนการเรียนการสอนแบบนี้อีกด้วย
e-Learning
เป็นการเรียนการสอนผ่านทางคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตการศึกษาที่นิยมกันมากในขณะนี้คือ
Web Base Learning การเรียนแบบนี้ ผู้เรียนสามารถเรียนที่ไหนก็ได้
เวลาใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัด
รูปแบบการเรียนการสอน
- การเรียนการสอนทางไกล (Distance Education)
เป็นการเรียนการสอนที่ประยุกต์เทคโนโลยีหลายๆอย่าง เช่น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประชุมทางไกลชนิดภาพและเสียง
รวมถึงเอกสารต่างๆเพื่อเข้าถึงผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
- แบบมหาวิทยาลัยออนไลน์ เรียกว่า Online University หรือ Virtual
University เป็นระบบการเรียนการสอนที่อยู่บนเครือข่ายในรูปเว็บเพจ
มีการสร้างกระดานถาม-ตอบ อิเล็กทรอนิกส์ (Web Board)
- การเรียนการสอนผ่านทางอินเทอร์เน็ตและเว็บเพจ (Online
Learning, Internet Web Base Education)
เป็นการนำเสนอเนื้อหาและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนโดยเน้นสื่อประสมหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน
มีการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ประสานงานกัน
ให้ผู้เรียนและผู้สอนเข้าถึงฐานข้อมูลหลายชนิดได้
โดยผู้เรียนต้องควบคุมจังหวะการเรียนรู้ด้วยตนเองให้เป็น และเลือกเวลา
สถานที่ในการเรียนรู้
- โครงข่ายการเรียนการสอนแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning
Network: ALN)
เป็นการเรียนการสอนที่ต้องมีการติดตามผลระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
โดยใช้การทดสอบบทเรียน เป็นตัวโต้ตอบ
Virtual หมายถึง เสมือน Virtual University
คล้ายๆการเรียนการสอนแบบ e-Learning เหมือนกับการจำลองสถานที่เรียน
โดยผ่านทางเครือข่าย
ไม่เหมือนห้องเรียนแบบเก่าที่มีครู/อาจารย์มาสอนหน้าชั้นเรียน
จึงดูเหมือนของปลอม
ต่อมาจึงได้มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยขึ้นมาใหม่เพื่อใช้แทนคำว่า
"เสมือน" คำนั้นก็คือ โทรสนเทศ หรือมหาวิทยาลัยโทรสนเทศ |
เครื่องมือช่วยเหลือการเรียนการสอนแบบ
e-Learning
เทคโนโลยีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้การเรียนการสอนแบบ
e-Learning ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
เราสามารถนำซอฟแวร์ที่เกี่ยวข้องกับการเขียนเว็บเพจ การส่งอีเมล
การใช้ Search Engine Newsgroup การใช้ http, ftp หรือ โปรแกรมทางด้าน
Authoring Tool เช่น FrontPage, Macromedia Dreamweaver เป็นต้น
การสร้าง Web Board ไว้ถาม-ตอบ
สิ่งที่ควรคำนึงถึงการเรียนการสอนแบบ e-Learning ในบ้านเราก็คือ คน
องค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้รูปแบบพัฒนาไปในทิศทางใด
จากกรณีศึกษาโรงเรียนจิตรลดา ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายประถมศึกษา
อาจารย์มีนา รอดคล้าย บอกว่า
ระยะแรกๆต้องให้ความรู้ทางเทคโนโลยีแก่บุคลากร โดยเฉพาะผู้บริหาร
ต้องให้ท่านเห็นความสำคัญและเข้าใจในเทคโนโลยีว่าไม่ได้ยาก
อำนวยความสะดวกสบายให้เราอย่างไร เป็นต้น อันดับต่อมาก็คือ
ผู้พัฒนาหลักสูตรและเนื้อหาวิชา ผู้พัฒนาระบบ
ผู้ช่วยสอนและที่ปรึกษาทางการเรียน
ประโยชน์ที่ได้รับ
- เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน โดยใช้สื่ออุปกรณ์
และคลังความรู้ที่มีอยู่บนอินเตอร์เน็ต
เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนของครูและนักเรียน
- เกิดเครือข่ายความรู้
ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมซึ่งกันและกันบนอินเตอร์เน็ต
ข้อมูลจะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ สะดวกและรวดเร็ว
- ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สามารถสืบค้นวิชาความรู้ไดด้วยตนเอง
โดยมีการให้คำปรึกษาและชี้แนะโดยครู/อาจารย์
- ลดช่องว่างระหว่างการศึกษาในเมืองและชนบท
สร้างความเท่าเทียมกันและกระจายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กชนบทได้รู้เท่าทัน
เพื่อสนับสนุนนโยบายและการพัฒนาระบบเทคโนโลยีการศึกษาและเครือข่ายสารสนเทศ
เพื่อความสอดคล้องและสนับสนุน การปฏิรูปการศึกษาตาม
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ปัจจุบันพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ไดกำหนดการศึกษาพื้นฐานไว้ 9 ปี แต่ปัญหาที่เป็นอยู่คือ
การศึกษายังไม่เข้าถึงทุกชุมชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรุงเทพฯ มากถึง 6
เท่าตัว
และมีการไม่เท่าเทียมกันของการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีประกอบกับโครงส้รางทางสารสนเทศพื้นฐานก็ยังขาดแคลน
ไม่รู้จะเลือกเทคโนโลยีอะไรมาใช้ให้เกิดความเหมาะสมหรือลงทุนแล้วจะคุ้มค่ากับทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่หรือไม่จะเปลี่ยนวิสัยทัศน์
กระบวนการทางความคิดของผู้สอนจะจัดการรูปแบบการบริหารให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาได้อย่างไร
การเปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบชั้นเรียนปกติ กับ
e-Learning
ชั้นเรียนปกติ |
e-Learning |
1. ผู้เรียนนั่งฟังการบรรยายในชั้นเรียน |
1. ใช้ระบบวีดีโอออนดิมานด์ เรียนผ่านเว็บ |
2. ผู้เรียนค้นคว้าจากตำราในห้องสมุดหรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ |
2. ค้นคว้า หาข้อมูลผ่านทางเว็บ ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก
Search Engine สะดวกรวดเร็วและทันสมัย |
3. เรียนรู้การโต้ตอบจากการสนทนาในชั้นเรียน |
3.
ใช้กระดานถาม-ตอบช่วยให้ผู้เรียนกล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้เต็มที่
เหมาะกับผู้เรียนจำนวนมาก |
4. ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ |
4. จะเรียนเวลาไหนที่ใดก็ได้ |
ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาของประเทศไทย
- การลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี (Digital Devide) ในปี 2541
เปิดให้บริการหมายเลขโทรศัพท์ในเขตนครหลวงถึง 4.3 ล้านเลขหมาย
ในขณะที่เขตภูมิภาคเปิดให้บริการแก่ชุมชน 3.1 หมายเลข
และเมื่อเทียบอัตราความหนาแน่นของผู้ใช้ต่อประชากร 100 คน
คิดเป็นเขตนครหลวง 43:100 และภูมิภาค 6:100
ซึ่งจะเห็นได้ว่าความแตกต่างมากกว่ากันถึง 7 เท่าทีเดียว
- สนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนามหาวิทยาลัยโทรสนเทศ (Virtual
University) เพื่อลดช่องว่างทางด้านคุณภาพการศึกษา (Quality
Devide)
-
สร้างกลไกการให้มีส่วนร่วมของภาคเอกชนและองค์กรที่ไม่มุ่งหวังกำไรในการพัฒนามหาวิทยาลัยโทรสนเทศ
-
สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อลดการนำเข้า
- จัดทำมาตรฐานและการรับรองคุณภาพ ให้ครอบคลุม 3 ระดับคือ
คุณภาพและมาตรฐานของหลักสูตร มาตรฐานของกระบวนการให้บริการการศึกษา
คุณภาพของผลผลิตหรือตัวบัณฑิต
- สนับสนุนและจัดทำโครงการเพื่อทำความเข้าใจกับประเด็นต่างๆ
ที่จำเป็นต่อการพัฒนาและกลไกลการขยายผลในอนาคต
มาตรการการส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ e-Learning
- จัดทำโครงสร้างโอกาสทางเทคโนโลยี (Digital Opportunity Program)
โดยการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงเทคโนโลยี
สร้างเครือข่ายการให้บริการการศึกษาครอบคลุมทั่วประเทศ
ทั้งผู้พัฒนาและการให้บริการเนื้อหา
-
จัดตั้งกลุ่มของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเนื้อหาและธนาคารความรู้
(Knowledge Depository)
- จัดทำโครงการระดับประเทศ
เพื่อสร้างความตื่นตัวและเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- สร้างมาตรการแรงจูงใจโดยมาตรการทางภาษี
หรือการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
ให้ภาคเอกชนจัดบริการการศึกษาออนไลน์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
- สร้างเกณฑ์เปรียบเทียบ (Benchmark) และมาตรฐานขั้นต่ำ (Minimum
Requirement)
เพื่อควบคุมคุณภาพการให้บริการของผู้ให้บริการการศึกษาจากธุรกิจภาคเอกชน
- จัดตั้งกองทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา
โดยการระดมทุนจากภาครัฐและเอกชน
เพื่อลดการนำเข้าและเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ นวัตกรรมทางการศึกษา
- ให้การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
และต่างประเทศในการพัฒนาการเรียนรู้
-
ทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการรับรองสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
- สนับสนุนและลงทุนในโครงการนำร่องต่างๆที่เกี่ยวกับ Virtual
University
เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนและเกิดประสิทธิภาพที่ดีในระยะยาว
ที่มา
http://www.thaicai.com/articles/elearning6.html
จัดทำโดย
นางสาววัชรินทร์
ทรัพย์ทิม
48071651
นางสาวศุภรา
กาหลง 48071705
นางสาวสโรชินทร์
ประสมศรี
48071828