โอกาสทำหน้าที่มหาวิทยาลัยในสังคมใหม่
ความขัดแย้งร้าวลึกในสังคมไทย เปิดหน้าต่างแห่งโอกาสให้แก่สถาบันทางปัญญาของประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่อไปนี้มหาวิทยาลัยจะมีโอกาสสร้างความโปร่งใสให้แก่สังคม ทำหน้าที่เป็นจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ทางจริยธรรม ทางความเป็นธรรม ให้แก่สังคม
เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๕๓ เรานัดกรรมการสภามหาวิทยาลัยมหิดลที่แสดงความเอาจริงเอาจังที่จะผลักดันมหาวิทยาลัยให้เข้าไปเยียวยาสังคมมาคุยกันที่ภัตตาคารของวิทยาลัยนานาชาติ โดยมี ดร. วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นผู้นำเสนอแนวคิดและแนวทางดำเนินการเพื่อใช้มหาวิทยาลัยเป็นกลไกสร้างภราดรภาพของผู้คนในชาติ และ ศ. นพ. ประเวศ วะสี และ อ. ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ก็เตรียมเอกสารมาเสนอแนวคิดและแนวทางดำเนินการด้วย เป็นบรรยากาศที่ผมเห็นแล้วมีความสุข ว่าประเทศไทยเราไม่ขาดแคลนผู้ใหญ่ที่เป็น concerned citizen
แต่ที่จะเล่าในบันทึกนี้ เป็นปิ๊งแว้บที่ผมได้จากการสนทนาในเที่ยงวันนั้น ทีเราพูดกันว่า ต่อไปสังคมไทยจะต้องเปิดกว้าง และการใช้อำนาจรัฐทุกอำนาจจะต้องโปร่งใส มีกลไกตรวจสอบสาธารณะ และเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสังคม โดยต้องยอมรับว่า คนเราไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ตำแหน่งใหญ่แค่ไหน ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ย่อมทำผิดได้ และผิดถูกในเรื่องของสังคมนั้นมันซับซ้อนเสียจนเราไม่สามารถตราได้ชัดๆ ว่าผิดหรือถูก แต่เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าการตัดสินใจนั้นๆ ก่อผลต่อส่วนต่างๆ กิจการต่างๆ มิติต่างๆ ของบ้านเมืองอย่างไร
ต่อจากนี้ไป ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จในการเปิดสังคมไทยให้เปิดกว้าง ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันทั่วทั้งสังคมไทย เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนต่างถิ่น ต่างฐานะ ต่างอาชีพ ลดแคบลง ประเทศไทยจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนอย่างที่มีการแสดงละครประกอบการทำความเข้าใจฉากอนาคตของประเทศไทยใน ๑๐ ปีข้างหน้า ที่จัดโดย สคช. ตามข่าวนี้ และที่นี่
มหาวิทยาลัยเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางการเมือง และเป็นกลางในเรื่องผลประโยชน์ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในคุณลักษณะนี้ของมหาวิทยาลัย นี่คือต้นทุนของมหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปทำหน้าที่ที่อ่อนไหวนี้ให้แก่สังคม คือหน้าที่เตือนสติและสร้างปัญญา หยิบเอาเรื่องสำคัญๆ ในบ้านเมืองมาวิเคาระห์แยกแยะทำความเข้าใจและบอกแก่สังคม บอกให้รู้ว่านโยบายหรือการตัดสินใจของผู้ถืออำนาจรัฐด้านต่างๆ ทั้งด้านการออกกฎหมาย (นิติบัญญัติ) ด้านบริหาร และด้านตุลาการ รวมทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่เมื่อมีมติหรืออกกฎหมาย หรือตัดสินคดีออกมาแล้ว มหาวิทยาลัยต่างๆ จะแบ่งหน้าที่กันตรวจสอบ โดยใช้หลักวิชาการ และโดยเก็บข้อมูลหลักฐานมาวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างลุ่มลึก และบอกแก่สังคม โดยการทำหน้าที่นี่เป็นการดำเนินงานเชิงสถาบัน ไม่ใช่เป็นการทำงานของอาจารย์เดี่ยวๆ เชิงปัจเจก
ทุกก้าวย่างของบ้านเมือง ที่ดำเนินการและรับผิดชอบโดยฝ่ายการเมือง ฝ่ายราชการ ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายประชาสังคม ต่างก็มองได้ว่าเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้เชิงสังคม ที่แม้จะตั้งใจดีอย่างไรก็ตาม สามารถมองหลายมุมได้ มองต่างกันได้ สังคมต้องใจเปิด เปิดโอกาสให้ฝ่ายวิชาการเข้ามาทำงานวิชาการสร้างสรรค์ เพื่อบอกผลกระทบในหลากหลายด้านให้สังคมรับรู้ และเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงนั้น โดยเราต้องไม่เน้นถูก-ผิด แต่เน้นเรียนรู้ และนำเอาไปใช้ในอนาคต ให้คิดเรื่องเหล่านั้นได้รอบคอบลึกซึ้งขึ้น และสาธารณชนทั่วไปเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อของมายาคติ หรือเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อที่เวลานี้ควบคุมได้ยาก
มหาวิทยาลัยต้องเป็นสติ และเป็นปัญญาให้แก่สังคม โดยการสร้างระบบการเรียนรู้เชิงสังคมขึ้นในประเทศไทย เพื่อช่วยให้คนไทยในทุกวิถีชีวิต ถูกหลอกได้ยากขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๕ มิ.ย. ๕๓
เรียนท่านอาจารย์หมอที่เคารพ
กระผมได้ฟังแล้วก็ชื่นใจครับผม ช่วยกันสร้างช่วยกันเติมต่อครับผม
ด้วยความเคารพครับผม
นิสิต
คุณหมอ
เป็นแนวคิด และแง่มุมที่ดีที่อาจารย์เห็นความสำคัญ ความจริงแล้วหน้าที่เหล่านี้ ควรเป็นหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยทุกแห่งควรเห็นความสำคัญและให้การใส่ใจมานานแล้ว โดยการจัดทำหลักสูตรอะไรก็ได้ ที่มีเป้าหมายและวิธีการที่จะสร้างให้คนใน "สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข" ในขณะเดียวกัน การศึกษาทุกวิชา หรือแขนงต้องเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขของคนในสังคม ไม่ใช่ไปเน้นเฉพาะวิชาทำมาหาิกิน หรือพัฒนาวัตถุ โดยหลงลืมมิติทางด้านจิตใจ เข้าตำราที่หลวงพ่อพุทธทาสเตือนพวกเราว่า "การศึกษาหมาหางด้วน" และแล้ววันนี้ เราทุกคนทราบชัดแล้ว การศึกษาแบบสุนัขหางหายมีชาตากรรมเป็นเ่ีช่นใด
ด้วยสาราณียธรรม
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
มหาจุฬาฯ