การจัดการความรู้ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
เหตุการณ์บ้านเมืองผ่านไปพร้อมกับความเสียหายในประเทศที่ยังคงอยู่ให้เห็นซากเถ้าถ่านโดยเฉพาะกรุงเทพฯเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ของเรา ทำให้นึกย้อนไปถึงในอดีตที่ผ่านมาตอนดิฉันเป็นเด็กจำได้ว่าใครที่หน้าตาผิวพรรณไม่เหมือนกับเรา เราจะคิดว่าคนนั้นไม่เข้าพวก แต่เดี๋ยวนี้หน้าตาผิวพรรณก็เหมือนกันทำไมถึงได้ทำร้ายกัน บรรพบุรุษท่านคงเสียใจที่อุตส่าห์ปกป้องแผ่นดินไว้ให้เรามีที่อยู่จนถึงทุกวันนี้ นี่...จะเขียนถึงเรื่องการศึกษามาออกเรื่องการเมืองได้อย่างไร...(งง)
การศึกษาไทยมีการพัฒนามาเรื่อยๆจนไม่รู้ว่าอันไหนใหม่อันไหนเก่าแล้วมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ แต่อย่างไรก็ตามสังคมไทยมีการการจัดการความรู้มานานแล้วทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งผู้เขียนได้อ่านหนังสือชื่อ “จัดการความรู้สู่ความเป็นเลิศ” ของบูรชัย ศิริมหาสาคร เกิดติดใจจึงอยากบอกต่อว่าจริงจริงแล้วเมื่อพ่อขุนรามคำแหงได้คิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1826 ถือเป็นการจัดการความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยเพราะนอกจากจะแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติแล้วตัวอักษรได้กลายเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้มาจนถึงปัจจุบันการประดิษฐ์อักษรของพ่อขุนรามคำแหงตรงตามกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) ซึ่งมี 5 ขั้นตอน คือ
1.Define พระองค์ทรงคิดว่าความรู้ที่จำเป็นสำหรับชาติไทยคือการมีภาษาเขียนของเราเอง เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราช ทำให้ชาติไทยมีความโดดเด่น
2. Create ทรงประดิษฐ์อักษรโดยใช้อักษรขอมและมอญมาผสมกันให้มีลักษณะเฉพาะเป็น
ลายสือไท ซึ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่
3. Capture ทรงจารึกไว้บนศิลาจารึกเพื่อจัดเก็บให้เป็นมรดกของชาติมาจนถึงปัจุบัน
4.Share ทรงสอนหนังสือกับลูกและประชาชนแบบพ่อสอนลูก
5.Use ลายสือไทที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นสามารถนำมาศึกษาเรียนรู้จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เป็นผู้บุกเบิกเรื่องการจัดการความรู้ของสังคมไทยและถือได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกที่สมควรแก่การ
ยกย่องเทิดทูนโดยแท้จริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมคะ
เขียนโดย อาจารย์อภิญญา คงกิตติ
โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์พณิชยการ
สวสดีค่ะ คุณจอมยุทธก๊วย...
แวะมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันค่ะ
น่าสนใจ ความรู้ใหม่นะเนี่ย
The traveller