วันนี้ นั่งในห้องทำงาน มีฝนตกอยู่ตลอด พลันนึกได้ว่าเคยเห็นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวกับฝน และเคยบันทึกภาพไว้ จึงเป็นที่มาของบทความครั้งนี้
“รุ้ง” คือ สิ่งที่เป็นนางเอกของเหตุการณ์คราวนี้ เธอไม่ใช่ผู้หญิง หากแต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการสะท้อนของแสงแดดเข้ากระทบละอองเม็ดฝนที่เป็นก้อนกลมๆ เล็กจนบางครั้งตาของเราอาจมองไม่ถนัด เมื่อแสงแดดที่ทุกคนมองเห็นเป็นลำแสงสีขาวตกกระทบที่ละอองเม็ดฝนแล้ว ลำแสงนี้ก็จะถูกกระจายออกมาเป็นแสง 7 สี ซึ่งประกอบด้วย สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง จากนั้นเจ้าละอองเม็ดฝนก็จะทำการสะท้อนแสงเหล่านี้ออกมากระทบกับนัยน์ตาของเรา ทำให้เราเห็นเป็นเจ้ารุ้งตัวอ้วน ลักษณะโค้งมน มีอยู่ 7 สี บางครั้งถ้าเรามองเผินๆ เราจะเห็นคล้ายกับว่ามันมีแค่ 3 สี นั่นเป็นมายากลทางธรรมชาติที่น่าสงสัยและชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราได้ศึกษาเรื่องรุ้งมากขึ้น เราก็จะรู้ว่า รุ้งนั้นมีด้วยกันหลายแบบ แต่ที่พอจะอธิบายได้ชัดเจนก็มีอยู่ 2 แบบ คือ รุ้งปฐมภูมิ (รุ้งตัวที่ 1) และ รุ้งทุติยภูมิ (รุ้งตัวที่ 2) ถ้าด้านที่อยู่ตรงกันข้ามดวงอาทิตย์มีละอองเม็ดฝนมาก เราก็จะสามารถเห็นรุ้งทั้ง 2 ตัวนี้เคียงคู่กัน เหมือนกับว่ามันกำลังหยอกล้อกัน โดยหันด้านที่เป็นสีเหมือนกันเข้าหากัน เปรียบเหมือนกันคนที่พูดจาภาษาเดียวกัน อาจเป็นได้ทั้งเพื่อนหรือคนรัก ความโค้งของมันก็ดูเหมือนความอ่อนโยนหรือความสุภาพที่ทุกคนควรมีให้กัน สีสันที่สดสวยของมันก็เหมือนชีวิตของคนเราที่อาจมีได้ทั้งสุข ทั้งเศร้า ปนกันไป
มองเห็นธรรมชาติแล้วบางครั้งก็อย่าลืมนำมาเก็บเป็นปรัชญาชีวิตของเราบ้าง เพราะตัวเราเองหนีห่างจากธรรมชาติไม่พ้น ธรรมชาติเป็นครูที่ดีของเรา เป็นเพื่อนที่เข้าใจเรา เป็นคนในครอบครัวที่พร้อมอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อรู้สึกตัวว่าเหงา เหว่ว้า จงคิดว่าธรรมชาตินั่นไงที่อยู่กับเราตลอด และถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ลองมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วถามว่าเธอคิดอะไรบ้าง
ขนาดลูกพี่ผมเอง อัลเบริต ไอน์สไตน์ ยังเคยบอกผมเลยครับว่า..
“Imagination is more important than knowledge.
จินตนาการ สำคัญมากว่า ความรู้”
เอารุ้งฝาแฝดมาฝากครับ