วาดภาพนี้ไว้เมื่อเกือบ 6 ปีที่แล้ว
จดหมายจากพ่อคนหนึ่ง
ลูกเอ๋ย…….เราไปอยู่ต่างแดนมาหลายปี พ่อรู้ว่าเราคิดถึงแต่เมืองไทยบ้านเกิดทุกวัน อยากจะกลับมาบ้านที่เคยอยู่ อู่เคยนอน แม้จะไม่ได้หรูหราหรือร่ำรวยแต่ก็เป็นบ้านที่แสนจะอบอุ่น
หลายปีกว่าเราจะได้กลับมาสักครั้ง ก็มีความสุข มีพลังกลับไปต่อสู้ชีวิตในต่างแดนได้อีก ประเทศไทยจึงเป็นดินแดนขุมพลังของคนไทยในต่างแดนทุกคน ยามได้กลับมาเยือนคราใด เสมือนได้มาชาร์ตแบตเตอรีเต็มร้อย
เดือนพฤษภาคม 2553 ก็เช่นกัน พ่อมีโอกาสได้พาลูกๆ กลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งแม้ช่วงสั้นๆ ลูกน้อยคนที่สี่ น้องสุดท้องของลูก ที่เกิดในต่างแดนก็ได้มีโอกาสกลับมาเยือนมาตุภูมิของพ่อแม่ด้วย
ลูกจำได้ไหมว่าเราอยู่กันอย่างติดดิน นอนดินกินข้าวบ้าน ไปเดินเล่นในห้าง ไปซื้อของกินในตลาด แสนจะสุขสำราญเพราะบ้านเรามีครบทุกอย่างและไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับต่างแดน แค่นี้ลูกก็สุขใจแล้วพ่อรู้
แต่ อนิจจา กลับมาบ้านครั้งนี้ สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอในสังคมไทยซึ่งเป็นเสมือนบ้านหลังใหญ่ของคนไทยทุกคนก็คือการต่อสู้ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง การต่อสู้ที่ไม่สามารถให้คำตอบที่พอใจได้ว่าสู้ไปทำไมในเมื่อผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีกับตนเองและประเทศชาติ
ภาพจากข่าวโทรทัศน์ที่เราต้องดูทุกชม.และทุกวัน พ่อไม่สามารถจะอธิบายกับลูกๆ ให้เขาใจได้ว่า เขายิงกันทำไม
เพียงแค่.....คิดต่างกัน รักหลงกันคนละสี มีอุดมการณ์คนละทาง ก็สามารถทำให้คนฝ่ายหนึ่งทำร้ายกันถึงชีวิตได้ขนาดนี้ ลูกๆ ทำหน้าไม่เข้าใจ คนไทยด้วยกันมิใช่หรือพ่อ ลูกถาม
ลูกเอ๋ย กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเมืองที่น่าอยู่อีกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มสยามต้อนรับแขกผู้มาเยือนไม่ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันเองหรือชาวต่างชาติ
พ่อรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจอย่างยิ่งที่ ในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่สร้างกรุงเทพฯ มานับ 200 กว่าปี คนไทยไม่เคยขัดแย้งจนถึงกับเผาบ้านเมือง เช่นนี้
การเผาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เผาวัตถุ ตึกรามบ้านช่อง แต่ได้เผาจิตวิญญาณ ชื่อเสียง เกียรติยศ ภาพพจน์ที่ประเทศเราได้สร้างมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายให้พินาศลงในพริบตา
เขาอยากจะยึดครองเมืองและประเทศที่ถูกเผา จนไม่มีอะไรเหลือกระนั้นหรือจึงได้เผาเมืองเผาประเทศซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของตนเอง
เขาอยากจะเผาให้ราบพนาสูรเพื่อที่คนไทยซึ่งก็รวมถึงพวกเขาเองด้วยจะได้ไม่มีที่อยู่และสูญสิ้นหมดทุกอย่างหรือ
กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ เสมือนไม่ได้เจอเมืองไทยที่เคยเป็น แต่เจอเมืองที่กำลังมีสงครามกลางเมือง เจอเมืองที่กฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เจอผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีคุณธรรม มีแต่ความประสงค์ร้าย จากภาพข่าวโทรทัศน์ที่เห็นทำให้หดหู่หัวใจ จนไม่สามารถที่จะรับได้ ในขณะที่ย่านกลางเมืองกำลังเดือดเป็นทะเลเพลิง คนในบริเวณอื่นๆ ยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติ เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลังประชาชนหายไปไหนหมด ถ้ากลางเมืองพินาศ ส่วนอื่นๆ จะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร
ลูกเอ๋ย หากคนไทยเมืองไทยยังเป็นเช่นนี้ เพื่อนๆ ของลูกในต่างประเทศก็คงไม่อยากมาเที่ยวเมืองไทยอีกแล้ว ซึ่งพ่อก็เข้าใจดี
พ่ออยากให้ลูกเก็บภาพดีๆ ของเมืองไทยในอดีตเอาไว้และระลึกถึงเฉพาะภาพดีๆ เหล่านั้น
ลูกจะได้ภูมิใจว่าลูกเป็นคนไทย และครั้งหนึ่งประเทศไทยเราเป็นประเทศที่สงบสุข น่าเที่ยวที่สุดในโลก
พ่อได้แต่หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องคุ้มครองสยามประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้
22 พค. 2553
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
สวัสดีค่ะท่าน
ขอให้..."เก็บภาพดีๆ ของเมืองไทยในอดีตเอาไว้และระลึกถึงเฉพาะภาพดีๆ" เท่านั้น เห็นด้วยค่ะ
เรื่องจริงอ่ะครับ.. ขอบคุณนะครับ
แวะมาทักทายครับ... ดูแลสุขภาพนะครับ..
http://gotoknow.org/blog/rachit7/354483
สวัสดีค่ะท่านเอกฯ
กรุงเทพที่ผ่านมาเจอฝันร้ายแบบทำใจไม่ได้เลยค่ะ หากแต่ฟ้าหลังฝน ยังคงงดงามเสมอ วันนี้ภาพของหนุ่มสาวชาวประชาเมืองฟ้าอมร ทุกวงการร่วมแรงใจกันฟื้นฟูเมืองอีกครั้ง เป็นนิมิตหมายที่ดีๆมากๆ ค่ะ ... แล้วกทม. เมืองไทยจะกลับมาสุข สงบกว่าเดิม ;)
รอยอดีตยังจารึก นึกคราใดก็แสนเสียดาย เราคงยากจะให้อภัย แต่เชื่อมั่นว่าคนที่ทำอย่างนี้จะต้องรู้สึกผิด และเป็นตราบาปติดตัวไปตราบสิ้นลม คิดแล้วน่าสงสารเค้า สาธุ
ราชิต สุพร ครับ
ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายกัน
โครงการสร้างคน น่าสนใจนะครับ
ขอให้กำลังใจครับ
โดยขอให้อย่าลืมเรื่อง 2 เงื่อนไขตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงครับ คือความรู้คู่คุณธรรม
ในช่วงนั้นไม่ต้องพูดถึงหนังสือพิมพ์ Los Angeles Timesที่เอาข่าวของเมืองไทยมาลงหน้าในหน้าหนึ่งติดๆกันหลายๆวัน และลูกค้าที่ธนาคารที่น้าจ้าทำก็มาแสดงความห่วงใย...
แต่ที่แปลกใจคือสถานีวิทยุเล็กๆในเมืองที่น้าจ้าอาศัยอยู่ ก็ออกข่าวเมืองไทย น้าจ้าเปิดฟังตอนขับรถไปทำงาน ข่าวออกมาก็ผิดบ้างถูกบ้าง ฟังแล้วโมโห โมโหมากๆเลย ต้องท่อง พุทโธ พุทโธ ไม่ได้โมโหข่าวที่เขาออกอากาศ แต่โมโหคนที่ทำร้ายประเทศ แล้วน้าจ้าก็อยู่ประเทศที่กฎหมายก็คือกฏหมาย ขนาดแค่ขยะเล็กๆ เด็กนักเรียนของเขาถูกสั่งสอนว่าเป็นการผิดกฎหมายถ้าจะทิ้งขยะลงบนพื้น เด็กเขาจะเก็บขยะใส่กระเป๋ากางเกง เจอถังขยะถึงจะควักเอาออกมาทิ้ง แล้วของประเทศไทยของเรา.....อยากจะพูดต่อจริงๆ แต่สิ้นปีนี้น้าจ้าคิดว่าจะกลับเมืองไทย ก็ขอไม่พูดดีกว่า เพราะM79และอาวุธสงครามมันหาได้ง่ายจริงๆ ....ก็เลยแค่นี้นะคะ..หุ หุ
น้าจ้าครับ
มองในแง่ดีนะครับ
การเกิดปัญหา ความขัดแย้งทำให้ได้บทเรียนที่ดี ทำให้คนตระหนัก เกิดปัญญา ว่าถ้าเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน ประเทศชาติไปไม่รอดแน่
ความอัดอั้นในใจของทุกคน แสดงออกมาตอนที่ออกไปร่วมกันทำความสะอาดถนน โดยไม่มีการร้องขอเลย
มากันคนละไม้คนละมือ เอาไม้กวาด เอาถังน้ำมาเอง ใครมีอะไรเสริม ก็เอามากัน
เราคงไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หากไม่มีความขัดแย้งดังกล่าว
เรื่องกฏหมายคือกฏหมายนั้น เป็นเรื่องจริงครับว่าคนไทยไม่ค่อยตระหนักถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย และไปเข้าใจว่าการเลี่ยงกฏหมายได้เป้นทางออกที่ดี
สิ่งเหล่านี้จากศีลธรรมเช่นกันครับ ถ้าไม่เคร่งครัดต่อวินัยหรือศีล ก็จะหลุดจากแนวทางที่ถูกต้องครับ
กว่าจะถึงสิ้นปี สถานการณ์น่าจะแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้วครับ
ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันนะครับ
สวัสดีท่านพลเดชครับ
เก็บภาพดีดีไว้
เมืองไทยยังมีความหวังครับ
คงถึงเวลาผ่านจุดเปลี่ยนนะครับ
ทุกอย่าง...มันก็เป็นเช่นนั้นเองนะครับ
ด้วยความระลึกถึงครับ...
คุณ Phornphon ครับ
ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายและมั่นใจในอนาคตของประเทศ
คนไทยในต่างแดนต่างรอวันที่สถานการณ์บ้านเมืองจะกลับมาสู่ความสงบเรียบร้อย
ผู้คนสามัคคี มีรอยยิ้ม มีรัฐบาลที่ดี มีคุณธรรม รวมทั้งนักการเมือง ที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักครับ