พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
By เย็นจิตร ถิ่นขาม (Yenjit Thinkham)
Book Review from--
อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). 2543.พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : กระบวนทัศน์และนโยบาย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). 2543.พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : สถานการณ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
การจัดการทรัพยากรโดยชุมชนเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้นได้ลดความขัดแย้งลง เปิดโอกาสให้ชุมชนได้เข้ามีส่วนร่วมและใช้สิทธิในการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเอง งานเขียน 2 ชิ้นที่แสดงได้เสนอเรื่องราวของพลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือ 1. พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : กระบวนทัศน์และนโยบาย และ 2.พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : สถานการณ์ในประเทศไทย โดย อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ) ซึ่งทั้งสองเล่มได้แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่สังคมไทยที่ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤติการณ์การเงินอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการผลาญทรัพยากรธรรมชาติซึ่งถือเป็นการทำลายทุนทางสังคมไปอย่างมากมาย จนสร้างมลภาวะร้ายแรงในสภาพแวดล้อม ให้เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรตลอดมา
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามว่าเราพัฒนามาถูกทางแล้วหรือ เพราะทิศทางการพัฒนาที่ผ่านมานั้น นอกจากจะไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนแล้ว ยังไม่ใยดีต่อความเป็นธรรมในสังคมเท่าที่ควร ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ชาวบ้านยากจนผู้เสียเปรียบตลอดมาในกระบวนการพัฒนาดังกล่าว มักกลับถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายทรัพยากรเสียอีก ขณะที่ผู้ได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาทั้งหลาย ยิ่งผลักดันและเรียกร้องชาวบ้านในชนบท เสียสละทรัพยากรของพวกเขามากขึ้นอีก รวมทั้งทำหน้าที่อนุรักษ์ธรรมชาติด้วย
ทั้งนี้งานเขียนแต่ละเล่มมีรายละเอียด ดังนี้
1. พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : กระบวนทัศน์และนโยบาย.2543. อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
-สถานภาพการวิจัย ชุมชนกับการจัดการ : บทสังเคราะห์ผลการศึกษา
แนวทางในการศึกษาชุมชนกับการจัดการทรัพยากร 4 แนวทาง คือ 1. แนวทางการศึกษาการจัดการทรัพยากรในเชิงอรรถประโยชน์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เน้นความเข้าใจระบบนิเวศแบบวิทยาศาสตร์ มองข้ามความหมายของธรรมชาติและจิตใจ ด้านวัฒนธรรมและด้านสังคม และความเป็นทรัพยากรเกิดจากพื้นฐานของความต้องการของมนุษย์ ที่มีความสามารถแสวงหาผลประโยชน์และควบคุมธรรมชาติทางเทคโนโลยี เชื่อมั่นในกลไกตลาดและระบบกรรมสิทธิ์เอกชนอย่างมาก 2. แนวทางการศึกษาการจัดการทรัพยากรในเชิงนิเวศวัฒนธรรม มีพื้นฐานวิธีคิดแบบบูรณาการอย่างเป็นองค์รวม พยายามทำความเข้าใจสภาพความเป็นจริง ในการอยู่ร่วมกันของระบบสังคมและธรรมชาติ ซึ่งถือว่ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในระบบนิเวศที่แตกต่างหลากหลาย 3. แนวทางการศึกษาการจัดการทรัพยากรในเชิงสถาบัน แนวทางการศึกษานี้ให้ความสำคัญกับเงื่อนไขด้านความสัมพันธ์เชิงสถาบัน ที่ไม่ได้ผูกติดกับชุมชน และ 4. แนวทางการศึกษาการจัดการทรัพยากรในเชิงความสัมพันธ์ของอำนาจ แนวทางการศึกษานี้มีสมมติฐานว่า สาเหตุเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม ที่มีความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงทรัพยากร ทำให้ด้านหนึ่งเกิดการกีดกันกลุ่มชนบางกลุ่ม ขณะที่อีกด้านหนค่งกลับเปิดโอกาสให้กลุ่มชนอีกบางกลุ่มที่มีอำนาจแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากร
ประเด็นปัญหาสำคัญในการจัดการทรัพยากรของชุมชน ได้แก่ สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร ความขัดแย้งเชิงสถาบัน ความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร และปัญหาของการมีส่วนร่วมในการจัดการ
-สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร : สถานภาพการศึกษาเกี่ยวกับชีวิต
ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรส่วนใหญ่จะเกิดจากการเข้าใจความหมายของสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรต่างกัน ด้านหนึ่งจะมีวิธีคิดเกี่ยวกับสิทธิ ที่ผูกติดกับตัวทรัพยากรและพื้นที่ บนพื้นฐานของความเป็นเจ้าของ คือที่รัฐหรือปัจเจกชนให้ความสำคัญกับการจัดการเชิงเดี่ยว และใช้วิธีการเดียวกันกับทรัพยากรทุกชนิด ขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้นจะมีวิธีคิดเกี่ยวกับสิทธิในแง่การเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามบริบทระบบนิเวศ วัฒนธรรม สังคม การเมือง เศรษฐกิจที่มีความหลากหลายซับซ้อน ดังนั้นจึงเน้นการจัดการเชิงซ้อนและการมีส่วนร่วมในการจัดการ เพื่อเป้าหมายความเป็นธรรมในสังคม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
-รัฐ ชุมชน และนโยบายการจัดการทรัพยากร : บทสำรวจองค์ความรู้
ประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายรัฐกับปัญหาการจัดการทรัพยากรชุมชน คือ ระบบกรรสิทธิ์ที่ลิดรอนสิทธิชุมชนในการจัดการและดูแลรักษาทรัพยารส่วนรวมของชุมชน ความขัดแย้งระหว่างกฎหมายและประเพณีที่ไม่สอดคล้องกัน ระบบการจัดการแบบรวมศูนย์ ที่อำนาจใจการบริหารการตัดสินใจอยู่ที่คนเพียงคนหรือกลุ่มเดียว ความลักลั่นขัดแย้งของนโยบายรัฐ ซึ่งรัฐเองจำเป็นต้องทบทวนนโยบายการัดการทรัพยากรทั้งป่าไม้ ดิน น้ำ การเกษตร เป็นต้น
-โครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการจัดการทรัพยากร : บทสำรวจสถานภาพความรู้
กลุ่มงานศึกษาการจัดการทรัพยากรหรือกระบวนทัศน์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่ใช้แนวการศึกษาอิงโครงสร้างเศรษฐกิจระบบตลาด สิ่งที่เหมือนกันของงานศึกษากลุ่มนื้อ การมองความจำเริญเติบโตและความทันสมัย (Growth and Modernization) ด้วยท่าทีที่เป็นบวก ทั้งนี้อาจแบ่งนักวิชาการในกลุ่มศกษาอ้างอิงระบบนี้ได้เป็น 3 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งศึกษาใน 2 ยุค คือยุคที่สนใจทรัพยากรด้านเป็นปัจจัยการผลิต และยุคสนใจสิ่งแวดล้อมในเชิงของการอนุรักษ์และการใช้ กลุ่มเศรษฐศาสตร์สถาบัน/เศรษฐศาสตร์นิเวศ กลุ่มนี้จะพิจารณารายระเอียดโครงสร้างสถาบัน ซึ่งสถาบันหมายถึงวัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อของผู้คน พร้อมทั้งองค์กรที่เป็นทางการต่างๆ ด้วย มีการพิจารณาประเด็นการจัดการที่สูงกว่าระดับปัจเจกชน และกลุ่มสาขาวิชาอื่น มีการศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการ กลยุทธ์การปรับตัวของชาวบ้าน และผลกระทบของการจัดการทรัพยากร
2. กลุ่มที่ใช้แนวการศึกษาวิพากษ์แต่ไม่ปฏิเสธโครงสร้างเศรษฐกิจระบบตลาด ซึ่งอาจเรียกว่ากลุ่มแนวเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Ecology) ซึ่งกลุ่มนี้จะวิพากษ์การทำงานภายใต้กลไกตลาด ซึ่งแบ่งเป็น กลุ่มวัฒนธรรมชุมชน ที่เสนอว่าวัฒนธรรมเป็นพื้นฐานของการพัฒนา ดังนั้นการพัฒนาต้องเป็นไปบนฐานวัฒนธรรม และกลุ่มนิเวศวิทยาการเมือง มีลักษณะของการทำงานมีมิติการเมือง ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมพร้อมๆ กับการวิพากษ์รัฐ
3. กลุ่มที่ใช้แนวการศึกษา ปฏิเสธโครงสร้างระบบเศรษฐกิจตลาด ในกลุ่มนี้วิพากษ์โครงสร้างอย่างรุนแรง และปฏิเสธแนวคิด “กระแสหลัก” ที่เป็นพื้นฐานของระบบทุนนิยม
-สถานภาพความรู้เกี่ยวกับชุมชนและแบบแผนการจัดการทรัพยากร
แบบแผนการจัดการทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มโดยชุมชน เอกชนหรือรัฐก็ตาม เกิดจากการกระทำที่ยึดวิธีคิด ในการวิเคราะห์และการจัดการทรัพยากรที่แตกต่างกัน แบบแผนการจัดการจึงเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งต่างๆ
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ : กฎหมายและประเพณีท้องถิ่น
รากฐานความคิดของการจัดการทรัพยากรในปัจจุบันมีรากฐานความคิดทางกฎหมายในเรื่องของความเป็นปัจเจกและของรัฐ ตามแบบระบบกฎหมายของตะวันกเป็นหลัก องค์ความรู้ที่ผ่านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนนั้นมีน้อยมาก ทั้งนี้ระยะหลังเริ่มมีการเคลื่อนไหวมากข้นของกลุ่มที่มีแนวความคิดทางกฎหมายในการจัดการทรัพยากร ได้แก่ แนวคิดเดิมายใต้อิทธิพลของระบบกฎหมายเอกชน แนวคิดทางประวัติศาสตร์ในทางกฎหมาย แนวคิดทางกฎหมายสิ่งแวดล้อม แนวคิดในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง แนวความคิดในการพัฒนาหลักกฎหมายเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภ และแนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิชนพื้นเมือง
-กฎหมายกับการจัดการทรัพยากรน้ำและชายฝั่งทะเล
ยังมีปัญหาในการจัดการทรัพยากรน้ำและชายฝั่งทะเล ทั้งในแง่กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายและการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบของรัฐ ซึ่งกรณีการเกิดความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากรทำให้เกิดแนวคิดในการออกกฎหมายเพื่อให้สิทธิแก่ชุมชนในการจัดการและใช้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการทรัพยากร
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากร : ศักยภาพและการต่อสู้ของท้องถิ่น
ศักยภาพชุมชน ได้พัฒนามาสู่จุดที่ไม่ใช่เป็นการศึกษาภาพนิ่ง หรือไม่ใช่เป็นการศึกษาชุมชนในตัวของมันเอง แต่เป็นการศึกษา “อำนาจ” หรือ “ความสามารถ” ของชุมชนภายใต้และตอบโต้กับอำนาจที่อยู่ภายนอกชุมชน ทั้งนี้ทั้งนั้นวางอยู่บนรากฐานของความเชื่อที่ว่ากระบวนการการร่วมตัดสินใจโดยคนจำนวนมาก และอยู่บนพื้นที่หรือใกล้ชิดกับพื้นที่ย่อมจะช่วยให้การตัดสินใจมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของของคนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามความเป็นชุมชนนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของความ “กลมกลืน” แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการสร้างกลไกในการจัดการกับความ “ขัดแย้ง” ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งกับรัฐหรือชุมชนอื่น หรือแม้แต่การจัดการภายในตัวเอง
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรที่ดินในภาคเหนือ
ปัญหาการจัดการทรัพยากรในภาคเหนือ มีความแตกต่างกันตามบริบทของพื้นที่ นั่นคือ ที่สูงกับพื้นที่ราบ ในพื้นที่สูงปัญหาการจัดการที่ดินเด่นชัด มักเป็นความขัดแย้งระหว่างแบบแผนการใช้ที่ดินของชุมชนดั้งเดิมับนโยบายการใช้ที่ดินบนที่สูงของรัฐ โดยที่แบบแผนการใช้ที่ดินของคนบนพื้นที่สูงมักจะถูกมองจากรัฐและคนพื้นราบว่า เป็นการทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับบริเวณที่ราบลุ่มของภาคเหนือนั้น ปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรที่ดินส่วนหนึ่งมาจากข้อจำกัดทางภูมิกายภาพ ที่มีที่ดินทำกินอยู่น้อยในบริเวณที่ราบแคบๆ ระหว่างภูเขา ทำให้ชาวนาส่วนหนึ่งไม่มีที่ดิน บางกลุ่มก็มีน้อยจนไม่เพียงพอต่อการยังชีพ ปัญหานี้เข้มข้นมากขึ้นเมื่อระบบทุนนิยมเข้ามาขูดรีดส่วนเกินจากชาวนา การต่อสู้ของชาวนาในเรื่องที่ดินช่วงทศวรรษที่ 1970 จบลงด้วยการสูญเสียอย่างหนัก
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในภาคเหนือ
ชุมชนมีความสัมพันธ์กับทรัพยากรอย่างมีพลวัต รูปแบบของการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในภาคเหนือเริ่มที่รัฐประกาศเขตป่าสงวน เขตป่าอนุรักษ์ ทำให้ชุมชนชายขอบถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม รัฐจึงมีนโยบายเพื่อควบคุมพฤติกรรมของผู้คนในบริเวณรอบๆ เพื่อสร้างความรู้และจิตสำนึกรักษ์ทรัพยากร แต่ปัญหากลับไม่ได้บรรเทาลง สถานการณ์นี้ทำให้รัฐถูกตั้งคำถาม พร้อมกันนี้วาทกรรมการจัดการทรัพยากรโดยชุมชนเริ่มขึ้น พร้อมทั้งภาคปฏิบัติการของป่าชุมชน ที่มุ่งกลับไปหาความเข้มแข็งของระบบการจัดการป่าไม้แบบพื้นบ้าน ความรู้ทางนิเวศพื้นบ้าน และขบวนการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรน้ำในภาคเหนือ
งานศึกษาเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำในภาคเหนือแทบทุกเรื่องมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องระบบเหมืองฝาย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษของสังคมภาคเหนือ และการเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมทำให้ระบบการจัดการน้ำแบบเหมืองฝาย ต้องมีการตอบรับการปรับเปลี่ยนและปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ยิ่งไปกว่านั้นการมองในเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ระบบเหมืองฝายเองก็คือ ผลผลิตของการรับตัวของสังคมมนุษย์ในการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและกับผู้คนในชุมชนเอง และแท้จริงแล้วก็คือ กลไกทางสังคมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรน้ำ ที่เป็นปัจจัยสำคัญของวิถีการผลิตของสังคมภาคเหนือ อย่างไรก็ตามบทสรุปของการจัดการทรัพยากรน้ำในภาคเหนือ น่าจะเป็นเรื่องของ “สิทธิในการจัดการโดยชุมชน”
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในภาคอีสาน
แนวทางการศึกษาการจัดการทรัพยากรในภาคอีสานประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ การศึกษาในแนวประวัติศาสตร์หมู่บ้าน ซึ่งเน้นการศคกษาการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และการเมืองชุมชน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรของชุมชนในลักษณะเป็นกระบวนการและเชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ ของการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับชุมชนและระดับมหภาค และการศึกษาที่เน้นระเบียบวิธีตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถให้ภาพปรากฏการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในภาพรวมได้ หากแต่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีคิดและกระบวนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ความขัดแย้งในทรัพยากรที่มากที่สุดคือทรัพยากรดิน ทรัพยากรป่าไม้ น้ำและแรน่ธาตุ ตามลำดับ ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะประเด็นการใช้ทรัพยากร แต่รวมถึงผลผลิตที่ได้และราคาตลาดของผลผลิตด้วย ซึ่งยังต้องศึกษาแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ปราศจากความขัดแย้งต่อไป แต่ในความเป็นจริงแล้วชุมชนเองมีความสามารถระดับหนึ่งในการจัดการทรัพยากรของชุมชนตนเอง โดยมีหน่วยในการจัดการที่เป็นแกนหลัก มีระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นแนวปฏิบัติในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์บนฐานคิดร่วมกันของคนกับธรรมชาติ ซึ่งอาจแตกต่างจากฐานคิดของรัฐที่เน้นการควบคุมทรัพยากร
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากร : ภาคตะวันตก
องค์ความรู้ในเรื่องการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคตะวันตก สลัดหลุดออกไปจากบริบทของ “สิทธิในทรัพยากร” ด้วยเหตุที่ภูมิภาคตะวันตกมีลักษณะพิเศษคือ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ต้นกำเนิดของวัฒนธรรมด้านทรัพยากรท้องถิ่น และความไม่มีเอกภาพทางการเมืองและวัฒนธรรมหลักในอดีต ซึ่งในความเป็นภูมิภาคที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทำให้ชุมชนแต่ละที่มีวิถีชีวิตไปตามแบบแผนนิเวศที่ตนเองดัดแปลงไป ซึ่งให้ชื่อว่า “นิเวศชุมชน” (Community Ecosystem)
ความขัดแย้งในภูมิภาคเกิดจากความบกพร่องทางเทคนิคและการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมากกว่าเรื่องของสิทธิ และประเด็นความเป็น “ท้องถิ่นนิยม” ของชุมชนในภูมิภาคนี้มี แต่ไม่ได้เป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมหลักในระดับภูมิภาค ชุมชนเหล่านี้คือชุมชนชายขอบซึ่งง่ายต่อการเกิดระบบอิทธิพลท้องถิ่น การจัดการทรัพยากรจึงไม่ใช่เรื่องของการตั้งคถามเรื่อง “สิทธิ” แต่น่าจะเป็นคำถามที่ว่า “ทำอย่างไรจึงจะสร้าง “วัฒนธรรมความเป็นประชาคม (Enhancing Civil Culture)” ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ได้
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรในภาคตะวันออก : การสำรวจองค์ความรู้
การศึกษาเรื่องการจัดการทรัพยากรในภาคตะวันออก ยังไม่มีความก้าวหน้ามากเท่ากับ การศึกษาเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เน้นการค้นหาศักยภาพของทรัพยากรที่จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม การศึกษาเรื่องทรัพยากรในภาคตะวันออกจึงเป็นเพียงเรื่องของการจัดหาทรัพยากร โดยอาศัยการวิเคราะห์ระดับมหภาคในประเด็นของความต้องการและการตอบสนองเป็นหลัก ทั้งนี้ประเด็นความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จุดอ่อนของการขาดความสนใจต่อประเด็น เรื่องการกระจายการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ทำให้ประเด็นสำคัญอื่นๆ ขาดหายตามไปด้วย อันได้แก่ บทบาทของชุมชนและท้องถิ่น องค์กรจัดการและกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย และการปฏิบัติในเรื่องการจัดการทรัพยากร
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ในภาคใต้ : สถานภาพการศึกษา
งานศึกษาวิจัยเรื่องป่าไม้ในภาคใต้ส่วนมากนำเสนอในมิติวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ ส่วนมิติด้านสังคมและวัฒนธรรมมักจะถูกละลเย ซึ่งแนวทางในการศึกษาเรื่องป่าไม้ในอนาคตก็น่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม และ “ทางเลือก” ในการจัดการทรัพยากรดังกล่าว
-ชุมชนกับการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลในภาคใต้
ปัญหาความขัดแย้งในประเด็นการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลในภาคใต้ที่สำคัญ คือ ความขัดแย้งเรื่องขนาดการทำประมงและเครื่องมือที่แตกต่างกันของการทำประมง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาวประมงจับและกลุ่มชาวประมงเพาะเลี้ยงและความขัดแย้งของชาวประมงกับกลุ่มคนอื่นๆ ความขัดแย้งที่ปรากฎชี้ให้เห็นถึงบริบทและเงื่อนไขที่สำคัญของปัญหา เช่น สิทธิ กรอบกฎหมายและผลกระทบจากกรอบนโยบายรัฐและการพัฒนาประเทศ
ทั้งนี้มีลักษณะงานของการศึกษาจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งเป็น 4 แนวทาง คือ กลุ่มงานการศึกษาชุมชนประมง กลุ่มงานด้านการพัฒนาและการจัดการการประมง กลุ่มงานการพัฒนาชุมชนประมง และกลุ่มงานศึกษาชุมชนกับการจัดารทรัพยากรชายฝั่ง
จากการทบทวนการศึกษางานเขียนทั้งสองเรื่องทำให้ได้เข้าใจเกี่ยวกับ “สิทธิ” สิทธิชุมชน” และ “สิทธิมนุษยชน” ในการจัดการทรัพยากรต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคที่มีความแตกต่างกันในแนวทางการวิเคราะห์ การตีความและเครื่องมือในการทำความเข้าใจชุมชนต่างๆ ซึ่งงานเขียน พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : กระบวนทัศน์และนโยบาย จะเน้นกระบวนทัศน์การมองเรื่อง สิทธิ การใช้สิทธิ การสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างรัฐและชุมชนเกี่ยวกับสิทธิ และนอกจากนั้นยังให้ภาพของนโยบายรัฐที่มีผลต่อการจัดการทรัพยากรของชุมชน ส่วน พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : สถานการณ์ในประเทศไทย นำเสนอกรณีศึกษาและการสำรวจสถานภาพองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ซึ่งกรณีการศึกษาจะเห็นความแตกต่างและความเหมือนกันของการจัดการสองแนวทาง คือ แนวทางการจัดการสายเดี่ยวโดยรัฐและหน่วยงานรัฐเข้าไปมีอำนาจในการจัดการ ซึ่งเป็นการจัดการกระแสหลักที่ปัจจุบันก่อให้เกิดปัญหาความไม่สอดคล้องกับชุมชน และทำให้ตั้งคำถามว่า “การจัดการทางเลือก” น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า “การจัดการทางเลือก” ที่ว่านั้นก็คือ การจัดการที่รัฐเป็นเพียงผู้แนะนำหรือคอยให้การสนับสนุนเท่านั้น ชุมชนท้องถิ่น หรือองค์กรชุมชนมีบทบาทหลักในการกำหนดการจัดการ ทรัพยากรชุมชน
แม้ว่างานการศึกษาด้านการจัดการโดยชุมชนมีส่วนร่วม การใช้ “สิทธิชุมชน” เริ่มมีมากขึ้นในสังคมไทย แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นภาคปฏิบัติการของการใช้ “สิทธิชุมชน” ยังไม่ปรากฎเท่าที่ควร ภาครัฐยังคงให้สิทธิในรัฐธรรมนูญโดยที่ภาคปิบัติการของวาทกรรมดังกล่าวยังต้องมีการทำความเข้าใจและผลักดันให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจัดการทรัพยากรชุมชนประเภทใดก็ตาม
อ้างอิง
อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). 2543.พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : กระบวนทัศน์และนโยบาย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
อานันท์ กาญจนพันธุ์ (บรรณาธิการ). 2543.พลวัตของชุมชนในการจัดการทรัพยากร : สถานการณ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
หนูรักอาจารย์ตลอดไปค่ะ