ประวัติของบ้านเขว้า
เชื่อกันว่า
ประมาณ 300 ปี ที่ผ่านมา เซียงสี
เซียงทอง เซียงหวิงและเซียงย้อย ราษฎรจาก
“บ้านข่าว” เขตอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
ได้เดินทางรอนแรมมาตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อล่าสัตว์
ตามประสาอาชีพพรานไพรจนมาถึงบริเวณแห่งหนึ่ง
เต็มไปด้วยป่าไม้ที่แสนอุดมสมบูรณ์ มีทั้งที่เป็นที่ลุ่ม
เป็นบึง เป็นหนองน้ำและมีลำห้วยที่มีน้ำเต็มฝั่ง
และบริเวณนี้เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือ
ช้าง ละมั่ง ลิง วัวป่า ควายป่า
กวาง กระทิงและสัตว์อื่น ๆ เป็นจำนวนมาก ทั้ง
4 คน ที่มาจาก “บ้านข่าว”
ได้พิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่าบริเวณที่แห่งนี้เหมาะสมที่จะตั้งหลักปักฐาน
ในการตั้งบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย เพาะปลูก
จับปลา ล่าสัตว์ ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ
จึงได้ชวนกันอพยพโยกย้ายชักชวนญาติพี่น้องมาตั้งรกรากถิ่นฐานบ้านเรือน
จนเกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ขึ้น
ต่อมา ได้มีการบอกข่าว
หรือส่งข่าวไปยังญาติพี่น้องจากถิ่นต่าง ๆ
ทำให้มีการอพยพมาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
และมีการตั้งชื่อหมู่บ้านตามภูมิลำเนาเดิมของตนที่อพยพมาว่า
“บ้านข่าว” เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจว่า บรรพบุรุษ
4 คนแรกของ “บ้านข่าว”
จากจังหวัดนครราชสีมาเป็นผู้มาก่อตั้ง “บ้านข่าว”
แห่งจังหวัดชัยภูมินี้ขึ้น
โดยจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ประชาชนโดยทั่วไปที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ยังเรียกชื่อว่า “บ้านข่าว” อยู่นั้นเอง
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2393
ทางราชการได้มีการสำรวจหมู่บ้านพบว่า หมู่บ้านแห่งนี้ชื่อ
“บ้านข่าว” ตามคำพูดของชาวบ้าน
แต่คงจะเป็นข้าราชการคนภาคกลาง
เป็นผู้มาสำรวจถึงได้เรียกชื่อเพี้ยนไป
และลงเป็นหลักฐานทางราชการว่า “บ้านเขว้า”
ซึ่งปัจจุบันมีหลายแห่งที่ทางราชการเรียกชื่อเพี้ยนจากข้อมูลที่เป็นจริง
เช่น “หนองบัวลุ่มภู”
กลายเป็น “หนองบัวลำภู” “ขามแก่น” กลายเป็น
“ขอนแก่น” “ชลบท” กลายเป็น “ชนบท” เป็นต้น
“บ้านข่าว” อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
ถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษรุ่นแรกของชาว “บ้านเขว้า”
จังหวัดชัยภูมินั้น
คงจะเป็นการตั้งชื่อหมู่บ้านเพื่อเป็นที่ระลึก
ตั้งแต่สมัยที่มีการสงครามกับเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์
ซึ่งในห่วงเวลานั้น ชาวบ้านมีการส่งข่าวสาร
ความเคลื่อนไหวของข้าศึกศัตรูให้แก่กัน
สำหรับ “บ้านเขว้า” จังหวัดชัยภูมิ
ถ้าจะนับเป็นเมืองแห่งข่าวสารคงจะพออนุโลมได้ว่า
ในอดีตมีการส่งข่าวสารถึงความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ญาติพี่น้อง
เพื่อให้อพยพมาอยู่ด้วยกัน แม้ในปัจจุบันจะไม่มีการอพยพ
แต่ข่าวสารที่ไปจาก “บ้านเขว้า” ก็คือ
“ผ้าไหม” อันเลื่องลือชื่อ
จนมีคำพูดในเชิงเปรียบเทียบว่า ถ้าส้มโอหวานต้องนครชัยศรี
ผ้าไหมดีต้องบ้านเขว้า จนเป็นที่มาของ
“บ้านเขว้าเมืองแห่งผ้าไหม”
แต่อย่างใดก็ตามเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่บรรพบุรุษและอุทาหรณ์ในการสื่อสารสำเนียงที่ไม่มีการพินิจพิจารณาดีพอ
ขอให้ชาวอำเภอบ้านเขว้าทุกคนได้พร้อมใจกันอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามต่าง
ๆ ไว้ และคงอนุรักษ์คำว่า “บ้านข่าว”
ให้คงอยู่คู่กับอำเภอบ้านเขว้าตลอดไป
บ้านเขว้ากับผ้าไหม
ผ้าไหมมัดหมี่อำเภอบ้านเขว้า
โดยเฉพาะตำบลบ้านเขว้า เริ่มจากการทอผ้าไหมเพื่อใช้ในครัวเรือน
การแต่งกายของผู้คนในโอกาส
พิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของเจ้าบ่าว
เจ้าสาว เป็นของไหว้สำหรับญาติฝ่ายชายในงานแต่งงาน รวมถึงงานบุญ
งานทาน
งานประเพณีต่างๆ ผู้คนจะแต่งกายด้วยผ้าไหม
ทั้งชายและหญิงเป็นการประกวด ประชัน
ทั้งฝีมือการทอและการตัดเย็บไปในตัว
ในปี ๒๕๑๖ นายสมคิด
จาปะเกษตรซึ่งขณะนั้นเป็นนายอำเภอบ้านเขว้าพร้อมด้วยนายทองคำ
อยู่วิเศษ ผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอบ้านเขว้า
พร้อมด้วยคุณนายนายอำเภอบ้านเขว้าได้ประสานไปยังคุณหญิงจรุงจิตรฯ
ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
และมรว.สุปะภาดา เกษมสันต์ ราชเลขานุการ
ในพระองค์เพื่อติดต่อขอนำผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของเกษตรกรไปจำหน่ายยังสำนักพระราชวัง
ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้นำผลิตภัณฑ์ผ้าไหมเข้าไปจำหน่าย
จึงได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อผลิตสินค้าออกจำหน่าย
โดยการนำของท่านนายอำเภอบ้านเขว้า
และได้จัดตั้งกลุ่มทอผ้าไหมอำเภอบ้านเขว้าขึ้นในสมัยนั้นเอง
มีสมาชิกทั้งสิ้น ๖๐๐ คน โดยมีนางแซว
อยู่วิเศษ เป็นหัวหน้ากลุ่ม
สามารถจำหน่ายผ้าไหมให้กับสำนักพระราชวังได้ราคาที่สูงมาก
ผ้าไหมของบ้านเขว้าจึงเริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไปของคนไทยทั้งประเทศตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ผู้ว่าฯ ชัยภูมิกับผ้าไหม
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ นายถนอม
แสงชมพู นายอำเภอขณะนั้น
ได้นำผ้าไหมส่งศูนย์ศิลปาชีพ สวนจิตรลดา
ด้วยคุณภาพของ ผ้าไหม ลวดลายที่แปลกตา
และฝีมือที่ประณีตจึงได้รับความสนใจ
มีผู้สั่งทอเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๐
ผู้ว่าราชการในจังหวัดชัยภูมิในขณะนั้น (ร.ต.สุนัย ณ
อุบล ดร.
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านผ้าไหมและผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหม )
ได้ให้
การส่งเสริมการผลิตและได้ส่งผ้าไหมบ้านเขว้าเข้าประกวดที่โครงการศิลปะอาชีพบางไทร
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์จังหวัดสกลนคร
ได้รับรางวัลชนะเลิศ
หลังจากนั้นผ้าไหมอำเภอบ้านเขว้าได้รับการคัดเลือกส่งเข้าประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศเกือบทุกปี
เอกลักษณ์ของลายผ้า เป็นการสะท้อนความเป็นอยู่
และวิถีชีวิตชุมชนบ้านเขว้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมชุมชน
ก่อให้เกิดจินตนาการคิดค้นออกมาเป็นลวดลายต่างๆ
บนผืนผ้าถ่ายทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์กับภูมิปัญญา
มีการสาธิตการผลิตผ้าไหมและกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการผลิต
เช่น การทอผ้า การเพนท์ผ้า การหยอดทองเป็นต้น
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
ในปีพ.ศ.๒๕๔๕ โครงการ หนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์
ผ้าไหมบ้านเขว้าได้รับการพิจารณาให้เป็นสินค้าระดับ ๕
ดาวของจังหวัดชัยภูมิ
และในการประกวดสินค้า โอท็อป ของกรมการพัฒนาชุมชน
กระทรวงมหาดไทย ผ้าไหมบ้านเขว้า
ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ
ยอดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
เห็นได้จากการจำหน่ายผ้าไหมในงานแสดงสินค้าที่
อิมแพ็ค เมืองทองธานี ยอดจำหน่ายสินค้า
otopของจังหวัดชัยภูมิ
เฉพาะผ้าไหมเป็นเงินถึง ๑๔ ล้านบาทเศษ
ต่อมาได้มีการผลิตผ้าไหมกันอย่างแพร่หลาย
และกลุ่มผู้ทอผ้าไหมอำเภอบ้านเขว้า ได้ผลิตผ้าไหมเป็นจำนวนมาก
ทำให้การนำผลิตภัณฑ์ผ้าไหม
ส่งจำหน่ายยังสำนักพระราชวังไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากผลิตภัณฑ์
ที่ส่งเข้าไปมีมากเกินไปทำให้สมาชิกของกลุ่มบางคนออกไปจัดตั้งและผลิตผ้าไหม
เพื่อหาแหล่งจำหน่ายเองจึงทำให้เกิดการแตกแยกภายในกลุ่ม
จนปัจจุบันกลุ่มผู้ทอผ้าไหมอำเภอบ้านเขว้าได้ถูกยุบเลิกไป
และเกิดกลุ่มผู้ประกอบการผลิต
และจำหน่ายผ้าไหมขึ้นอีกเป็นจำนวนมากตามที่ปรากฎเห็นตามภาพหมู่บ้านผ้าไหม
ทดสอบครั้งสุดท้ายนะครับ
ขออนุญาตนำไปใช้นะครับ
หาข้อมูลไปใช้งานถวายช้างได้แล้ว ขอบคุณครับ