ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีย่อมไม่เกิด
หมู่คณะและสังคมจะอยู่กันได้นั้นจะต้องอยู่กันโดยสันติ สามารถร่วมมือผนึกกำลังกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณนั้นการป้องกันการรุกรานจากภายนอกเป็นความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ความสามัคคีจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยความจำเป็นที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ขณะเดียวกันความสามัคคีก็เป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่นอกจากจะต้องอยู่รวมกัน ร่วมมือร่วมใจเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันนั้น ยังมีสิ่งที่เป็นนามธรรม กล่าวคือ ความสามัคคีเป็นคุณธรรมขั้นสูงที่มนุษย์ยินดีเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องเป็นความสามัคคีที่อยู่บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน และควรจะมีลักษณะสร้างสรรค์ต่อสังคมของตน รวมทั้งการไม่เบียดเบียนรุกรานผู้อื่นด้วย เมื่อใดความสามัคคีนำไปสู่ความสูญเสียและทำลาย เกิดการแตกแยกในสังคม โดยความสามัคคีเกิดขึ้นเป็นกลุ่มๆ ในสภาพเช่นนี้อาจทำลายชุมชนใหญ่ได้ หรือในกรณีที่สามัคคีร่วมมือกันกระทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ด้วยความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ก็จะทำลายจุดประสงค์หลักของความสามัคคี จนมีคำกล่าวว่า “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย” “ รวมกันทำลาย แยกกันดีกว่า” ซึ่งหมายความว่า การรวมกลุ่มด้วยความสามัคคีเพื่อก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ และกรณีเช่นนั้นแยกกันต่างคนต่างอยู่จะนำไปสู่ความเสียหายที่น้อยกว่าได้ สามัคคีจึงไม่ใช่รวมกันเพื่อทำลายแต่เพื่อสร้างสรรค์
ความสามัคคีที่จะเป็นไปได้และมีความต่อเนื่องและยั่งยืนจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและความเป็นธรรม โดยผลประโยชน์ที่ได้นั้นจะต้องเฉลี่ยให้เกิดความพอใจกับทุกฝ่าย การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยกลไกต่างๆ ในสังคมจะต้องมีมาตรฐานที่คงเส้นคงวา ไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยมีสองมาตรฐาน จนเปลี่ยนหลักการเป็นหลักกู มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก หรือกลุ่มของตนเท่านั้น ผลสุดท้ายก็จะนำไปสู่ “พวกเขา และพวกเรา” ความยุติธรรม ความถูกต้อง กลายเป็นสิ่งซึ่งไม่สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม
สรุปได้ว่า การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ด้วยการรักใคร่ปรองดอง จะต้องทำให้สังคมนั้นมีความยุติธรรม ระบบการแจกแจงมีความเป็นธรรม ใครก็ตามที่เรียกร้องความสามัคคีจะต้องตระหนักข้อเท็จจริงที่ว่า “ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีย่อมไม่เกิด”
ไม่มีความเห็น