การจัดทำหลักสูตรถือว่ายากแล้ว แต่การเตรียมการและจัดการฝึกอบรมยากยิ่งกว่า เราทำงานภายใต้ความจำกัดของเวลา และถูกควบคุมกำกับโดยบุคคลภายนอก งบประมาณสนับสนุนโดย สปสช. ที่มีกรอบระยะเวลาและการประเมินผลที่ชัดเจน งบสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากองค์การ IRC หรือ International Rescue Committee ส่วนเรื่องการเตรียมความพร้อมและคุณภาพการฝึกอบรมถูกกำกับโดยคณะทำงานจากคณะแพทยสาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และความสำเร้จโดยรวมของโครงการถูกจับตาดูทั้งคนที่อยากเห็นความสำเร็จและคนที่อยากเห็นเราล้มเหลว
ทีมงานจัดการฝึกอบรมจึงมีการระดมคนที่มีใจที่อยากเห็นความสำเร็จ อยากเห็นการพัฒนาจากทั้งใน สสจ.ตาก โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอและสถานีอนามัย มาร่วมกันทำงานเพิ่มจากงานประจำด้วยใจและสมอง เรามีการประชุมพูดคุยกันหลายครั้ง รายละเอียดกิจกรรม โครงการ วัน เวลา สถานที่ มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่นิ่ง การสื่อสารทีมงานต้องใช้ทั้งเจอกันจริง (ซึ่งทำได้น้อย) โทรศัพท์และอีเมล์ หลายคนมาช่วยด้วยเพราะเห็นใจผม อยากช่วย แม้งานส่วนตัวจะหนักอึ้งและหลายคนมาเพราะผมขอให้ช่วย
หลักสูตรการฝึกอบรมใช้เวลาศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 18 สัปดาห์ เรารับผู้อบรมจำนวน 90 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆละ 45 คน แยกเป็นสองห้องเรียน ฝั่งตะวันตก (สายน้ำเมย) กับฝั่งตะวันออก (สายน้ำปิง) ตอนแรกจะเรียกเป็น 2 รุ่น แต่เปิดเรียนพร้อมกัน แต่สุดท้ายก็สรุปว่าเป็นรุ่น 1 แต่ สองห้องแทน และมีผู้สมัครเรียน 87 คน โดยเรียนฟรี ไม่ต้องลงทะเบียน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆเบิกได้ตามระเบียบการเดินทางไปราชการ ฝั่งตะวันตกเรียนที่โรงพยาบาลแม่สอดและ สสอ.แม่สอด ส่วนฝั่งตะวันออกเรียนที่ สสจ.ตากหรือ สสอ.เมืองตาก ในแต่ละวันจะมีวิทยากรพี่เลี้ยง 1 คน คอยดูแลขณะที่วิทยากรมาบรรยาย
การประเมินความพร้อมและพื้นฐานความรู้ความสามารถก่อนรับการฝึกอบรม มีการสอบFoundation test และการทำ Before action review (BAR) ก่อนฝึกอบรม เพื่อทราบพื้นฐานและความคาดหวังของแต่ละบุคคลและนำมาเป็นแนวทางการจัดกระบวนการและเนื้อหาการฝึกอบรม
การเตรียมความพร้อมผู้เข้ารับการอบรมก่อนฝึกอบรมตามรายวิชาที่กำหนด จัดไว้ 3 วัน ประกอบด้วยพิธีเปิด บรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิ ปฐมนิเทศ ทดสอบก่อนฝึกอบรมและกลุ่มสัมพันธ์ การทำงานเป็นทีม/เครือข่ายและการทำงานเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพทบทวนความรู้กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
กำหนดคุณสมบัติของผู้สอนภาคทฤษฎีมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาโทหรือเทียบเท่า มีประสบการณ์การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาที่สอนไม่น้อยกว่า 2 ปีและผ่านความเห็นชอบจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
การเตรียมความพร้อมของแหล่งฝึกปฏิบัติ มีอาจารย์พี่เลี้ยงที่เป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 1 ปีหรือพยาบาลเวชปฏิบัติที่มีประสบการณ์การทำงานไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี ในอัตราส่วนอาจารย์แพทย์ต่อนักศึกษาไม่เกิน 1: 8 หรือพยาบาลเวชปฏิบัติต่อนักศึกษาไม่เกิน 1: 3 หรือพยาบาลวิชาชีพต่อนักศึกษาไม่เกิน 1:2 และอาจารย์พี่เลี้ยงทุกคนต้องผ่านการเตรียมความพร้อมก่อนรับนักศึกษาฝึกภาคปฏิบัติ
เกณฑ์การประเมิน มีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 และต้องได้คะแนนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรายวิชาไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70
การประเมินผลภาคทฤษฎี มีการสอบข้อเขียน (Exit comprehensive examination) ร้อยละ 80 ร่วมกับประเมินพฤติกรรม ความสนใจ กิจกรรมในชั้นเรียน เวลาเรียนและงานที่มอบหมาย ร้อยละ 20
การประเมินผลภาคปฏิบัติ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ทักษะปฏิบัติการบริการปฐมภูมิในแผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน การปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยและครอบครัวในศูนย์สุขภาพชุมชนหรือสถานีอนามัย ร้อยละ 50 (สัดส่วนคะแนนฝึกที่ รพท: รพช: สอ เป็น 2:2:1) โดยการบันทึกประสบการณ์ลงใน Work book (Log book)
2. รายงานส่วนบุคคลกรณีศึกษา 3 เรื่องในแหล่งฝึกระดับละ 1 เรื่อง ร้อยละ 30
3. การสัมมนา การนำเสนอและการอภิปรายรายงานกลุ่ม (กลุ่มละไม่เกิน 3 คน) ร้อยละ 20
การประเมินผลการฝึกอบรมโดยรวม ประกอบด้วย
1. หลังสิ้นสุดการฝึกอบรมทันที ให้ตอบแบบสอบถาม
2. ติดตามหลังสิ้นสุดการฝึกอบรมไปแล้ว 3 เดือนโดยการประเมินผลการปฏิบัติงาน การทำ OPD Card Audit/ Family folder Audit
3. การจัดทำเครือข่ายและประเมินการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายและมีการประชุมเพื่อจัดทำ Selected case conference
4. การประเมินโดยทีมประเมินภายใน ที่ประกอบด้วยกรรมการหลากหลายวิชาชีพโดยประเมินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เห็นความเป็นไปของโครงการทั้งกระบวนการทางปริมาณและคุณภาพ (Qualitative and quantitative methods)
สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทางคณะแพทย์ มน.โดย อ.ทวีศักดิ์ ได้แนะนำให้ปฏิบัติเนื่องจากหมออนามัยไม่มีสภาวิชาชีพของตนเอง แต่ต้องทำการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรค รวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพภายใต้การดูแลและอำนาจของนายแพทยืสาธารณสุขจังหวัด เพื่อให้สังคมเชื่อมั่นว่าหมออนามัยติดปีกที่จบการฝึกอบรมไปแล้วจะทำในสิ่งที่เหมาะสม มีคุณธรรมจริยธรรมจึงควรมีคณะกรรมการควบคุมกำกับจริยธรรมหมออนามัยติดปีกขึ้นด้วย
เรื่องจริยธรรมและการจัดการจริยธรรม ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดชื่อคณะกรรมการควบคุมจริยธรรมหมออนามัยติดปีก โดยมีกรรมการ 15 คน มาจากการแต่งตั้งตามตำแหน่ง 7 คน คือนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก เป็นประธาน ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน ตัวแทนจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นรองประธาน และตัวแทนสาธารณสุขอำเภอ (เลือกกันเอง) 4 คน และกรรมการจากการเลือกตั้งในกลุ่มหมออนามัยติดปีกจำนวน 8 คน
มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพและควบคุมกำกับให้เป็นไปตามที่กำหนด การจัดระบบสนับสนุนให้สมาชิกมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีแรงจูงใจที่เป็นธรรมในการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ หากมีการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมคณะกรรมการสามารถยึดคืนประกาศนียบัตรหรือถอนชื่อออกจากบัญชีรายชื่อหมออนามัยเฉพาะทางด้านบริการปฐมภูมิได้ รวมทั้งการคัดเลือกหมออนามัยติดปีกตัวอย่างที่มีผลการปฏิบัติงานเพื่อให้การยกย่องเชิดชูให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมรวมทั้งกำหนดกฎ กติกาอื่นๆตามความเหมาะสม
หมออนามัย ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานีอนามัยต้องทำการรักษาพยาบาลและด้านสาธารณสุขอื่นๆโดยไม่มีสภาวิชาชีพของตนเองรองรับ ทำให้กระบวนการพัฒนาทางด้านวิชาชีพไม่ค่อยมี การเรียนต่อก้ต้องไปเรียนสาธารณสุขศาสตร์ ที่ไม่มีวิชาหรือมีน้อยด้านการรักษาพยาบาล แต่พอออกไปทำงานกลับต้องทำงานรักษาพยาบาลเพราะชาวบ้านไม่รู้จะไปพึ่งใคร ไปโรงพยาบาลก็ยาก
จะให้พยาบาลวิชาชีพไปอยู่สถานีอนามัยก็ทำไม่ได้ทุกสถานีอนามัย และต้องใช้เวลาอีก 4-5 เดือนไปเรียนพยาบาลเวชปฏิบัติก่อน เมื่ออยู่ที่สถานีอนามัยคนเดียว ก็ทำงานรักษาคนเดียวลำบากเพราะวันไหนที่ต้องลา ต้องไปประชุม หมออนามัยที่มีอยู่เดิมก็ต้องทำการรักษาแทนอยู่ดี ดังนั้นการอบรมหมออนามัยติดปีก จึงไม่ใช่การทำให้หมออนามัยไปทำงานรักษาแทนพยาบาลทั้งๆที่ไม่มีสภาวิชาชีพ แต่เป็นการเสริมศักยภาพให้เขาเมื่อเขาต้องทำโดยไม่มีทางเลือก จะได้ทำอย่างมั่นใจ ถูกต้อง ชาวบ้านได้ประโยชน์
ในมุมมองผม สภาวิชาชีพจึงควรมองเรื่องวิชาชีพและเปิดกว้างโดยมองประโยชน์ประชาชน ภายใต้บริบทของประเทศ เปิดใจกว้าง ในส่วนเรื่องสภาวิชาชีพของหมออนามัยนั้น ผมมีความเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ในสถานีอนามัยนั้น ถือเป็นการบริการปฐมภูมิซึ่งเป็นหัวใจหลักของการบริการพื้นฐานของประชาชน หากเราสามารถพัฒนาต่อยอดให้หมออนามัยเป็นนักบริการปฐมภูมิ กำหนดขึ้นมาอีกวิชาชีพหนึ่ง ให้เป็นคณะกรรมการวิชาชีพแบบแพทย์แผนไทย โดยกระทรวงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดขึ้นตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ก็จะทำให้กระบวนการพัมนา ควบคุมกำกับจริยธรรมของหมออนามัยเกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ต้องรอ พ.รบ. วิชาชีพสาธารณสุขสาสตร์ซึ่งมีกระบวนการที่ยุ่งยากและมีความหมายที่กว้างมากเกินไป
น่าเห็นใจคณะทำงาน ไม่ได้ถูกเชิดชู และให้เกียจและได้รับกำลังใจจากเจ้านาย
น่าเห็นใจ คนทำงาน น่าจะถูกเอ่ยชือสักหน่อย
คนทำงาน