ในวันหนึ่งที่เดินทางร่วมไปกับน้องๆจากแดนใต้หลังการประชุม เมื่อรถบัสของศูนย์ราชการนำพวกเรามาหยุดลงที่ปากซอย การเดินทางก็เปลี่ยนผ่านเป็นชวนกันขึ้นรถแท็กซี่จำนวน ๒ คัน มองถนน อื้อหือ รถแน่นไปหมดจนขยับตัวลำบากเชียว น้องๆบอกว่าที่พักอยู่ตรงโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
ฉันไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ตรงระยะห่างแค่ไหนจากศูนย์ราชการ เมื่อเห็นรถบนถนน สมองก็แล่นว่าน่าจะนั่งอยู่ในรถนานอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อนั่งไปจริงๆ พรรคพวกที่ไปด้วยกันก็บอกว่า นั่นไงๆหมอ โรงพยาบาล
อ้อ โรงพยาบาลอยู่ฝั่งตรงข้ามและเข้าซอยไปนี่เอง มิน่าจึงมองไม่เห็น ระยะห่างจากปากซอยศูนย์ราชการน่าจะไม่เกิน ๕๐๐ เมตร เห็นสภาพถนนแล้ว เราก็ตัดสินใจให้โชเฟอร์เทียบรถจอดเลียบฟุตบาทเพื่อลงเดินข้ามสะพานลอยกันไปเองเมื่อถึงจุดตรงข้ามที่ตั้งห้างบิ๊กซี
อาคารโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ มีบ้านเรือนอยู่รายรอบมากมาย
ขณะเดินมาด้วยกัน ตาฉันก็สอดส่ายเหลียวหาโรงแรมที่กำลังจะไปพัก แต่ก็ไม่เห็น จนเดินถึงโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ พรรคพวกก็ชวนให้เดินเข้าไปในซอยแล้วชี้บอกจึงเห็นโรงแรม ปรากฏว่าโรงแรมที่พักอยู่ในซอยเดียวกับโรงพยาบาลนะเอง
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้เดินทางมาพร้อมกับพวกเขา นี่ถ้าให้มาเอง มีหวังเดินหาซะจนหมดแรงแน่เลย
เก็บข้าวของไว้ที่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว ท้องร้องเตือนว่าหิวแล้วๆๆทั้งๆที่ยังไม่ถึง ๖ โมงเย็นเลย จึงตัดสินใจออกไปสำรวจหาอาหารเติมให้ท้องอิ่มเสียหน่อย ไม่ได้แวะชวนพรรคพวกจากแดนใต้ไปด้วยกันเพราะกลุ่มของเขามีอาหารที่จัดหามาไว้กินร่วมกันที่ห้องแล้ว
เดินไปพลางสำรวจพื้นที่ไปพลาง รู้สึกไม่คุ้นสถานที่เลยแฮะ จนถึงห้างบิ๊กซี เท้าก็พาตัวเองเดินเข้าไป แล้วสายตาก็ปะทะกับน้องปอเดินสวนทางมาบนถนน ทักทายกันจึงทราบว่าที่พักของน้องก็อยู่แถวๆนี้เช่นกัน
มื้อนี้อิ่มท้องด้วยอาหารหลักจานสบายๆ ข้าวไข่เจียวเลือกได้ ๓ อย่าง ๒๐ บาท ตามด้วยสลัดผักไฮโดรโพนิกส์ที่เลือกผักได้หลากหลาย ภายใต้บรรยากาศเงียบๆ สบายๆภายในห้าง รู้สึกมีความสุขกับการกินทีเดียวเชียวหละ หรือว่าเป็นเพราะหิว???????
วิถีอีกมุมหนึ่งของคนเมือง
ระหว่างเดินพาตัวกลับเข้าที่พักอีกรอบ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิทซะแล้ว เส้นทางที่เดินกลับมีแสงไฟให้เห็นสว่างไสวบนถนนละลานตาทีเดียว
รถราที่วิ่งบนถนนยังขวักไขว่ไปหมดลดลงจากช่วงเย็นไปมากโขแล้ววิ่งกันเร็วเชียว เห็นแสงไฟที่ละลานตาก็ดูสวยดีทั้งบนถนนและที่บนตึกสูงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม บนฟุตบาททางเดินนั้นไม่ใคร่มีคนเดินสวนทางมาเลยสักคน สงสัยแถวนี้คนจะนอนกันตั้งแต่หัวค่ำเนอะ
วิถีแห่งความเร็วเป็นความต่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบทหรือเปล่า...ใครรู้ช่วยบอกที
ถึงห้องพักจัดการทำความสะอาดให้ตัวเองแล้วก็คอยดูรายการสดของลุงเอกทางช่องไทยทีวีก่อนจะนอน ปรากฏว่ารายการออกซะดึกเชียว ลุงเอกออกรายการพร้อมกับอาจารย์โคทม อารียาค่ะ ฟังเรื่องราวที่คุยแล้วรู้สึกว่าลุงเอกให้ความเห็นต่อข้อสัมภาษณ์อย่างเป็นตัวของตัวเองจริงๆ ไม่โจมตีใคร ไม่โน้มน้าวใคร ไม่จ้อ ให้ความเห็นตรงๆว่าลุงเอกเห็นจุดอ่อนอะไรของทั้ง ๒ ฝ่ายอย่างมีจุดยืนที่ความปรารถนาดีเป็นที่ตั้งและมีอารมณ์ที่สงบเป็นปกติ
ลุงเอกและอาจารย์โคทม อารียาออกรายการในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๓
เรียกว่าค่ำคืนนี้ก็ได้เรียนรู้วิธีแสดงตัวของนักสันติวิธีอีก ๒ คน คุ้มกับการนอนดึกทีเดียว กว่ารายการจะจบ กว่าจะพาตัวเข้านอนก็จวนยามสองแล้ว หลับสบายกับที่พักใหม่จนเกือบตื่นสายค่ะ
รู้สึกอย่างไรกับชีวิต : ชิวๆกับการกิน-การอยู่ ไม่แจ่มใสกับสิ่งที่รับรู้รอบตัว
เรียนรู้อะไร :
เมื่อตกอยู่ในภาวะไม่รู้ ก็จำเป็นต้องลอง ลองไว้ใจตัวเอง ลองไว้ใจคนอื่นซะบ้างดีเหมือนกันนะ
การลองพึ่งพาคนอื่นที่รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เคยซะบ้าง เป็นการเผื่อแผ่ให้คนอื่นเขามีความสุขกับชีวิตได้เหมือนกันนะ
การลองไว้ใจในตัวเองซะบ้างในสิ่งที่ไม่เคย ไม่รู้ ทำให้ชีวิตชิวๆได้เหมือนกันนะ
ไม่มีความเห็น