อนุโมทนาสาธุการ งานธรรมจักรบูชา วันที่ ๑-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ณ สังเวชนียสถาน พุทธคยา อินเดีย
สิ่งที่เกิดขึ้นและมีความโดดเด่นนอกเหนือจากเรื่องธรรมจักรบูชาใน ๕ วัน ณ โพธิมณฑลสถาน พุทธคยาแล้วนั้น ในช่วงสามวันแรกของงานยังได้มีงานบูชาประจำปีพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑-๒-๓ กุมภาพันธ์ เป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ของพุทธคยา ที่จัดโดยศรีลังกาและมหาโพธิสมาคมของอินเดีย มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในพระสถูป เพื่อนำมาเฉลิมฉลองอัญเชิญไปรอบเมืองและประดิษฐานไว้ภายในวิหารของวัดศรีลังกา โดยประชาชนจะมาร่วมงานกันมากมายเข้าแถวกันยาวเหยียดเพื่อรอเข้าไปกราบสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ในปีนี้อาตมาได้เป็นประธานในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาประดิษฐานในพระวิหาร และทำพิธีสวดร่วมสวดกับพระสงฆ์นานาชาติ เป็นประธานนำแถวขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในผอบ โดยอาตมาได้อัญเชิญไว้ในด้วยมือของอาตมาเดินนำขบวนพระและอุบาสก อุบาสิกานานาชาติสู่มหาโพธิวิหารสังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทำการประทักษิณรอบพระศรีมหาโพธิ์ ก่อนอัญเชิญมาประดิษฐานในพระวิหารวัดศรีลังกา
งานนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากทางคณะสงฆ์เวียดนาม โดยในระหว่างขบวนอัญเชิญเสด็จฯ จากมหาโพธิสมาคมสู่พระศรีมหาโพธิ์ อาตมามีปิติมากที่ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับไปบริเวณที่พระองค์ท่านได้เคยประทับนั่งตรัสรู้พระอนุตรสัมมสัมโพธิญาณหรือที่พระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุอันเป็นอัฏฐิธาตุนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระวรกายของพระองค์ท่าน เวลาผ่านไปสองพันกว่าปี อาตมาได้อัญเชิญกลับไปสู่ที่ๆ พระองค์ท่านได้ทรงเคยใช้สอยพระอัฏฐิธาตุดังกล่าวนั่งประทับตรัสรู้ถึงซึ่งพระโพธิญาณ ณ สถานที่แห่งนี้ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่พลังพระพุทธานุภาพที่อยู่ในสถูปนั้นจะแผ่กำลังธรรมอันไม่มีประมาณออกไปทั่วทุกทิศ ซึ่งได้มีสาธุชนบางท่าน (ท่านผู้พิพากษาอารีย์ เตชะหรูวิจิตร) ถ่ายภาพได้เป็นฉัพพัณรังสีออกมาจากสถูปแก้วเหลืองอร่ามสว่างไสว ในห้วงเวลาแห่งความสำคัญของอาตมา ได้แก่ตรงวาระการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปไว้บนพระแท่นพระพุทธเมตตาในมหาโพธิวิหารใต้พระศรีมหาโพธิ์และทำพิธีบูชาใหญ่อีกครั้งที่นั่น และนั่นคือหัวใจของงาน เพราะเป็นการคืนกลับพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์สู่แผ่นดินที่พระองค์เคยทรงประทับและตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอีกครั้งหนึ่งอย่างสมเกียรติสืบต่อมา
จนถึงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ก็เป็นวันมหกรรมจัดขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ของมหาโพธิสมาคมอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำพิธีถวายการฉลองสมโภชน์บูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตสาวกธาตุ ซึ่งมีพระสงฆ์นานาชาติมาเข้าร่วมมากมายพร้อมศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุของพระธาตุของพระอัครสาวกไปรอบพุทธคยา โดยขบวนดังกล่าว มีช้างทรง ๒ เชือกแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างดี และมีอูฐ ๒ ตัว อยู่ข้างหน้า โดยช้างนั้นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแน่ แต่อูฐก็ไม่ทราบว่ามาเกี่ยวอย่างไร มีขบวนพาเหรดและขบวนดุริยางค์ของทางธิเบตและศรีลังกานำหน้าโดยมีพระไทยเข้าร่วมอยู่ในขบวน อาตมาเป็นประธานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นนั่งบนหลังช้างซึ่งเป็นครั้งแรกของอาตมาที่จะต้องขึ้นนั่งบนหลังช้าง โดยมีพระนานาชาติอีก ๓ รูป ร่วมอัญเชิญไปด้วย โดย ๒ รูปจะต้องเชิญพระธาตุของพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะที่บรรจุอยู่ในสถูป ทางฝ่ายฆราวาสก็มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หัวหน้าวิปรัฐบาลของอินเดียมาทำพิธีมอบ มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ออกข่าวไปทั่วโดยมีปรากฏลงข่าวต่อมาในหนังสือพิมพ์อินเดียไทมส์ (Indian Times) ที่จำหน่ายทั่วประเทศอินเดีย
ก่อนหน้าที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้นอาตมาก็นั่งภาวนา แล้วก็ออกมานั่งรอเวลาที่เขาจะมาเชิญ อาตมาส่งลูกศิษย์ไปดู ๒ ครั้ง เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งมาจากกลุ่มคีรีวง นครศรีธรรมราชซึ่งได้กลับมาบอกว่า ช้างยังไม่มา พอถึงเวลาอาตมามาดูเอง ปรากฏว่า ช้างมาเทียบเกยแล้ว และถ้าช้างมาแล้ว เขาจะรอเราไม่ได้ เพราะงานนี้มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลมาทำพิธีมอบ เป็นเรื่องใหญ่ของเขา ผู้คนก็ยืนแออัดกันแน่น ขบวนแห่อัญเชิญก็ใหญ่โต มีพระสงฆ์ผู้คนจากหลายชาติมาร่วมกันอัญเชิญ พอหัวหน้าวิปรัฐบาลเห็นอาตมาขึ้นมาก็หลีกทางให้ ปรากฏว่าพระนานาชาติ ๒ รูปขึ้นช้างเชือกแรกไปเรียบร้อยแล้วพร้อมอัญเชิญสองพระสถูปไปทางมหาโพธิสมาคมก็พยายามบอกให้พระสองรูปนั้นลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนให้อาตมานั่ง แต่ท่านทำเฉยไม่ลุก แต่ถ้าท่านลุกก็ลำบากเพราะอยู่บนหลังช้างและช้างก็ออกเลยเกยไปแล้ว จะถอยหลังก็ยากไปหมด อาตมาเองก็มาถึงช้าไปหรือสายไป แต่พอเห็นช้างเชือกที่ ๒ ที่กำลังจะเข้ามาเทียบเกย อาตมาก็ชอบใจว่าช้างดูสง่าเครื่องทรงและกูบมีที่ยั่งเดียวก็ดูดี ช้างเชือกแรกออกจะดูเป็นแฟนซีเป็นกูบ ๒ ที่นั่ง อาตมาเข้าใจว่าพระสถูปของพระบรมสารีริกธาตุและของพระสารีบุตรคงเสด็จไปล่วงหน้าแล้ว ที่เหลือคงเป็นของพระมหาโมคคัลลานะที่มอบให้อาตมาเชิญไป ทุกคนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แม้แต่มหาโพธิสมาคมเองก็หวังให้อาตมาซึ่งเป็นประธานได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ก่อนที่อาตมาจะลงช้าง แปลกมากคือ ช้างเขายกงวงจรดหน้าขึ้นมาเหมือนทำความเคารพและถอนสายบัวย่อเข่าและเท้ายกเล็กน้อย เขาย่อนิ่งและยืนอย่างสงบจนอาตมานั่งบนกูบเรียบร้อย เขาจึงยกตัวตรงโดยที่ไม่มีใครสั่งและน้ำตาไหลตลอด ตอนที่อาตมารับพระสถูป ช้างนี้ก็ยกงวงทำความเคารพอีกและน้ำตาก็ไหลพออาตมานั่งเสร็จ พระผู้ใหญ่ของเวียดนามก็ลงมานั่งข้างหลัง นั่งอย่างลำบากน่าสงสารมากเพราะต้องเบียดลงด้านหลังกุบและต้องโบกธงฉัพพัณรังสีไปตลอดเส้นทาง ขบวนแห่ประทักษิณรอบเมืองให้เวลาเป็นชั่วโมง ฝูงชนก็ซัดและโปรยดอกไม้ไปตลอดทาง ตอนผ่านวัดไทยเห็นท่านเจ้าคุณทองยอดออกมายืนดู ท่านยกมือไหว้มาที่พระสถูปที่อาตมาอัญเชิญไว้ในมือนั่งไปบนหลังช้าง
พอเดินเสร็จสิ้นจนวกกลับมาสู่มหาโพธิสมาคมหรือก็กลับมาที่วัดศรีลังกา เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุกลับเข้าพระวิหาร โดยในพระวิหารได้มีการจัดที่ประดิษฐานไว้ ๓ ที่ตรงหน้าพระประธานในพระวิหาร โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ทางซ้ายมือของเราเป็นที่ของพระสารีบุตร และทางขวามือเป็นของพระมหาโมคคัลลานะ สถานที่ตรงกลางกับทางซ้ายมือมีสถูปวางเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่สถานที่ประดิษฐานทางขวามือของพระมหาโมคคัลลานะที่อาตมาอัญเชิญไป อาตมาจึงได้นำสถูปที่นำไปบูชารอบเมืองวางลงบนแท่นที่สามอันเป็นด้านขวามือของอาตมา โดยยังมีผ้าคลุมพระสถูปอยู่ทุกสถูป เมื่อาตมาเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ อาตมาชักเอะใจจึงได้นำผ้าคลุมออกจากสถูปทั้งสาม พระสงฆ์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของมหาโพธิสมาคมได้กล่าวกับอาตมาว่า ให้เปลี่ยนตำแหน่งพระสถูป เพราะพระสถูปที่อาตมาอัญเชิญไปนั้นเป็นพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีขนาดใหญ่กว่าอีก ๒ สถูปของพระอัครสาวกซึ่งมีขนาดเท่ากัน ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุอยู่กับอาตมาโดยตลอด ซึ่งอาตมาและทุกๆคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ของมหาโพธิสมาคมไม่มีใครทราบเลย เพราะเข้าใจว่าลำดับที่ ๓ พระสถูปที่อาตมาอัญเชิญบนหลังช้างต้องเป็นของพระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะขณะที่อยู่บนหลังช้างอาตมาไม่รู้มาเลย โดยเชื่อว่าพระสถูปพระบรมสารีริกธาตุต้องประทับอยู่บนหลังช้างตัวที่หนึ่งอย่างแน่นอน อาตมาได้สวดมนต์เกือบไม่หยุดเลย มีพลังแผ่ออกมาจากพระสถูปมากๆ อาตมาเองก็ชักแปลกใจ จึงเปิดผ้าดูพระสถูปก็เห็นมีแหวนมีสร้อยคล้องเต็มไปหมด พยายามมองไปที่ช้างเชือกแรกข้างหน้า ก็เห็นพระสถูปคลุมผ้าอยู่ จึงไม่อาจบอกความแตกต่างได้
แต่พอมาเปิดผ้าดูในวิหาร ทุกคนตกตะลึงแม้แต่ทางมหาโพธิสมาคมเอง เพราเขาคิดว่าสถูปที่สาม น่าจะเป็นสถูปของพระมหาโมคคัลลานะ แต่กลับเป็นสถูปของพระบรมสารีริกธาตุ อย่างไรก็ตามถ้าอาตมารับพระสถูปในตอนแรกซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุและนั่งช้างเชือกแรก ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอาตมาเป็นประธานในงานครั้งนี้ ทุกคนคงไม่อัศจรรย์ใจ แต่นี่เป็นอานุภาพของการเสี่ยงทายโดยแท้จึงเกิดพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพอันยิ่งใหญ่ แม้ทุกวันนี้ทางมหาโพธิสมาคมในอินเดียก็ยังอัศจรรย์ใจกับเรื่องนี้อยู่ ตอนแรกที่เขาคิดว่าอาตมาได้อัญเชิญพระธาตุของพระมหาโมคคัลลานะนั้น เขายังถามหมู่ลูกศิษย์อาตมาว่า “Everybody Happy ??” ซึงได้บอกไปในตอนสุดท้ายว่า “Happy จริงๆ”
พระอาจารย์อารยะวังโส
มีต่อตอนต่อไปค่ะ
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๑ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344722
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๒ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344805
อ่านลิขิตธรรมของหลวงพ่ออารยะวังโส ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344511