วันจันทร์ที่ ๑๕ มี.ค. ๕๓ งานที่นัดไว้ถูกยกเลิก ผมจึงถือโอกาสนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ฝึก “ชีวิตชลอความเร็ว” (slow life)
สำนักงานบริหารงานกรรมการและผู้ถือหุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งร่างรายงานการประชุมคณะกรรมการธนาคารครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ มาให้ตรวจสอบแก้ไข ซึ่งตามปกติผมอ่านคร่าวๆ เท่านั้น เพราะไม่มีเวลา แต่วันนี้ลองอ่านแบบละเลียด เพื่อตรวจสอบการทำหน้าที่กรรมการบริษัท แบบที่ไม่ใช่แค่เพื่อประโยชน์ของบริษัท แต่เพื่อประโยชน์ของสังคม
ที่จริงผมเป็นกรรมการที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการออกความเห็นเพื่อกำกับกิจการของธนาคาร เพราะผมแทบจะไม่เคยออกความเห็นเลย แม้จะติดตามกิจการอย่างเอาใจใส่ทั้งในที่ประชุมและนอกห้องประชุม เพราะทางฝ่ายบริหารเขาทำงานกันอย่างชาญฉลาดและรอบคอบ โดยที่บางกิจกรรมกว่าผมจะเข้าใจก็อาจใช้เวลาเป็นปี
ในการประชุมครั้งที่แล้ว (๒/๒๕๕๓) มีการรวบรวมข้อมูลเรื่องการทุจริต และวิเคราะห์เอามาให้กรรมการทราบและให้คำแนะนำ ซึ่งสรุปได้สั้นๆ ว่ามีการทุจริตลดลง ทั้งเชิงจำนวนครั้งและจำนวนเงิน โดยที่ธนาคารมีมาตรการในการป้องกันที่เข้มงวดขึ้นหลากหลายมาตรการ เรื่องนี้มีผู้บริหารระดับผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารการป้องกันการทุจริตรับผิดชอบโดยตรง และคณะกรรมการธนาคารได้กำหนดนโยบายไม่ประณีประนอมกับผู้ทุจริต จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ทุจริตทุกคดี
ในปีที่แล้วถือเป็นปีแห่งความระมัดระวัง เพราะยังอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก คณะกรรมการจึงกำหนดให้จัดวาระรายงานผลประกอบการทุกเดือน โดยที่ก่อนหน้านั้นรายงานเป็นรายไตรมาส พอรายงานเช่นนี้ก็พบว่าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อในเดือนมกราคมลดลง เมื่อสอบถามจึงได้ความรู้ว่าเป็นวัฏฏจักรเช่นนี้เอง ที่สินเชื่อจะลดลงในช่วงต้นปี และขยายตัวในช่วงปลายปี การซักถามในที่ประชุมสะท้อนความระมัดระวังในการกำกับดูแลกิจการของธนาคารไทยพาณิชย์
ความรู้สำหรับใช้ในการกำกับดูแลองค์กรอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งเมื่อนำมาเสนอก็เห็นภาพความสามารถในการดำเนินการที่สูงกว่าของธนาคารไทยพาณิชย์ คือแม้จะมีขนาดเงินให้สินเชื่อและสินทรัพย์น้อยกว่า แต่มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย สูงที่สุด
ช่วงต้นปีเป็นช่วงของการรับรู้ผลประกอบการของปีที่แล้ว ซึ่งปีนี้คณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์จะมีข่าวดีให้แก่ผู้ถือหุ้นและแก่พนักงาน คือจะเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในวันที่ ๒ เม.ย. ๕๓ ให้จ่ายเงินปันผลสูงขึ้น และโบนัสของพนักงานก็สูงขึ้นด้วย เป็นรางวัลที่พนักงานทำงานหนักในท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้กำไรสุทธิสูงเกือบเท่าของปีที่แล้ว ถือเป็นผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจมาก
การปรับตัว ปรับองค์กร อย่างต่อเนื่อง ให้เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและสภาพของธุรกิจ เป็นสิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากการทำหน้าที่กรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ ผมได้เห็นบางส่วนงานขยายตัว รับคนเก่งๆ มาจากภายนอกเข้ามาเป็นผู้บริหาร ซึ่งผมตีความว่า เท่ากับเป็นการดูดซับความรู้จากภายนอกที่มีอยู่ในตัวคน เข้ามาทำประโยชน์ต่อธุรกิจที่ธนาคารต้องการขยายแต่ยังไม่มีความรู้เพียงพอ บางหน่วยงานเคยแยกเป็นบริษัทลูก เช่นงานด้านกฎหมาย บัดนี้ได้ปรับเป็นส่วนงานสำคัญของธนาคารและรับผู้บริหารจากภายนอกเข้ามาเป็นทีมงาน ผมได้เห็นวิธีการวิวัฒน์องค์กรที่แยบยลมาก น่าชื่นชม บริษัทลูกจึงถูกยุบไป ผมเห็นภาพของการทำงานโดยมีมิติของ trial and error หรือ learning curve อย่างชัดเจน
พูดถึงเรื่อง learning แล้ว หลายวาระการประชุมสะท้อนภาพของการหมุนวงจรเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งของระบบการเงินของประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการร่วมกันกับธนาคารไทยพาณิชย์ โดย ธปท. กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งเอกสาร “นโยบายและแผนกลยุทธการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน” ราย ๓ ปี โดยส่งทุกปี และก่อนส่งต้องให้คณะกรรมการธนาคารเห็นชอบเสียก่อน รวมทั้งกำหนดให้ฝ่ายบริหารต้องเสนอเรื่องสำคัญๆ ให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณาให้ความเห็นชอบ ผมมองว่า ข้อกำหนดหลายอย่างของ ธปท. จะมีผลสร้างความรอบคอบระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจการเงินการธนาคารของไทย สร้างความเข้มแข็งของระบบนี้ทั้งระบบ ทำให้ประเทศของเราแข่งขันในระบบโลกได้
ผมอยากเห็นภาพนี้ในระบบอุดมศึกษาเสียจริง ภาพที่ กกอ./สกอ. ร่วมกันกับสถาบันอุดมศึกษาหมุนวงล้อแห่งความเข้มแข็งของระบบอุดมศึกษาไทย ไม่ใช่ กกอ./สกอ. มัวแต่วิ่งไล่จับผู้ร้ายในวงการอุดมศึกษา
เพื่อความระมัดระวัง ไม่ให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจแบบมีอคติ ธปท. จึงกำหนดให้การตัดสินใจด้านสินเชื่อและ customer review ของลูกค้าที่เป็นกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง (conflict of interest) กับธนาคารต้องได้รับมติเห็นชอบจากการประชุมคณะกรรมการธนาคาร เราจึงมีวาระนี้เข้าสู่การประชุม โดยที่สาระมีรายละเอียดเชิงเทคนิค ต้องซักถามจึงจะพอเข้าใจ ผมมองว่า นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนวิวัฒนาการของธนาคารไทยให้ทั้งเข้มแข็งและซื่อสัตย์
คณะกรรมการเองไม่สามารถเข้าไปดูแลการกำกับรายละเอียดบางเรื่องได้ จึงมีคณะกรรมการย่อยทำงานมาก่อนชั้นหนึ่ง และนำมารายงานคณะกรรมการทุกเดือน ได้แก่คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการสรรหาและบรรษัทภิบาล คณะกรรมการค่าตอบแทน และคณะกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม
หลักสำคัญที่สุดในการทำหน้าที่กำกับดูแลสำหรับผมมี ๔ ประการ
๑. กำกับดูแลด้วยความเอาใจใส่
๒. กำกับดูแลด้วยความระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต
๓. กำกับดูแลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
๔. เรียนรู้ไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๑๕ มี.ค. ๕๓
ขอบคุณค่ะที่เปิดโอกาสให้ได้ติดตามการดำเนินงานของธนาคารจากบันทึกนี้..อ่านแล้วมองเห็นการประสานงานเชิงกลยุทธ์กับ ธปท.ในลักษณะ preventive ที่สะท้อนผลเชิงประจักษ์ในทางปฏิบัติ เป็นแบบอย่างของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งด้วยค่ะ..