เมื่อเสียงปืนแตก …


ข้าพเจ้าติดตามการชุมนุมประท้วงที่กรุงเทพ ฯ  มาเ้ป็นระยะเวลาหนึ่ง   เมื่อย่างเข้าเดือนเมษายน  ข้าพเจ้าได้นึกไปถึงเหตุการณ์ของปีที่แล้ว  และเกิดความกังวลในใจว่า  กงล้อประวัติศาสตร์จะหมุนซ้ำกลับมารอยเดิม 

เป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าพบว่าความคิดเห็นของเราชาวไทยแบ่งเ้ป็นสองฝักสองฝ่ายอย่างชัดเจน และไม่อาจจะประนีประนอมกันได้   คนทั้งสองฝ่ายไม่เคยยอมที่จะเปิดใจรับฟังกันจริงๆ สักครั้ง  การติดยึดในทวินิยม คือสิ่งที่เราชาวไทยทั้งหลายเป็นอยู่  เรามักจะมองทุกอย่างว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างต้องเหมือนเดิมและคงเดิมอยู่เสมอ แถมติดยึดกับคำว่าดีและชั่วอย่างเหนียวแน่น  ดังนั้นเมื่อเรามองใครว่าชั่ว  เราก็จะมองว่าคนผู้นั้นชั่วไปทั้งหมด หาที่ดีไม่ได้เลย  ส่วนคนที่เราคิดว่าดี เราก็มองว่าเขาดีทุกอย่าง จนไม่มีความชั่วเอาเสียเลยเช่นกัน  แถมถ้ามีใครมาว่ากล่าวตำหนิติเตียนคนที่เรานิยมชมชอบ เราก็จะไม่รับฟังและคอยปกป้องคนผู้นั้นอยู่ร่ำไป  และมักเลือกที่จะปิดหูปิดตาตนเองในการรับรู้ความจริงใดๆ  ทั้งนั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีความคิดเห็นและมุมมองสองฝักสองฝ่ายเกิดขึ้น   การมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง  จึงเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะเรามักมีอคติ มีความคิดเห็นมีความเข้าใจไปเองร้อยแปด  และเราไม่ฟังอะไรกันเลย

เมื่อจิตใจเราเต็มไปด้วยมิจฉาทิฎฐิ  มีแต่ความคิดเห็นส่วนตนโดยไม่มองและไม่น้อมใจฟังความจริงทั้งหลาย อย่างลึกซึ้ง  แถมยังมีมุมมองแบบทวินิยมจนสุดโต่ง  ประเทศชาติเลยแตกแยกเป็นหลายฝักหลายฝ่ายในที่สุด

มันน่าแปลกที่เราเกิดในเมืองพุทธศาสนา  ที่สั่งสอนกันเรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา  แต่ขัาพเจ้าเข้าใจว่า คำสอนของพุทธศาสนาไม่อาจแทรกซึมเข้าสู่จิตใจที่มีแต่มายาคติ และเต็มไปด้วยมิจฉาทิำฐิมากมาย ของชาวไทยหลายๆส่วนได้  จึงได้เกิดเหตุการณ์อันโศกเศร้าและสูญเสียอีกครั้ง และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า มันจะเกิดซ้ำอีกเรื่อยๆ ถ้าเราไม่กลับไปแก้ที่รากเหง้าของปัญหาทั้งหมด

ที่ผ่านมา สังคมไทยส่วนใหญ่   ใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการกวาดปัญหาต่างๆ ไปอยู่ใต้พรม แล้วซุกซ่อนไว้  เราไม่เคยเปิดใจอะไรกัน และพยายามบอกว่าทุกสิ่ง OK ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล  เราพยายามอยู่กับปัญหาโดยไม่คิดที่จะแก้ปัญหาด้วยซ้ำ  และมักจะอับอายขายหน้าที่จะพูดอะไรกันออกมาตรงๆ  ดังนั้นความเกลียดชังกัน ความไม่พอใจกัน จึงถูกซุกซ่อนไว้ทุกที่  และรอวันที่จะระเบิดออกมาในสักวันหนึ่ง   

เป็นที่สังเกตว่า  ในสังคมและวัฒนธรรมแบบไทยๆ  เมื่อเรามีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น  เราจะไม่ค่อยเปิดใจที่จะพูดคุยกันสักเท่าไหร่  อาจจะด้วยเกรงใจ ด้วยความอาวุโส  ด้วยวิถีและวิธีคิดบางอย่าง  เราจึงไม่อยากคุ้ยเขี่ยเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้น ออกมาพูดกันให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย เราจึงต่างเก็บงำมันไว้  ดังนั้นข้อขัดแย้งทุกกรณีในสังคมไทย  จึงไม่เคยได้รับการแก้ไข หรือสะสางใดๆทั้งสิ้น มันเพียงแต่ถูกทับถมและกองไว้ที่ไหนสักแห่ง  ในที่ลับหูลับตาคนทั้งหลาย 

กรณีพิพาทต่างๆ ที่ควรได้รับการเปิดใจ  ได้รับการแก้ไขด้วยการเจรจาอย่างสันติ และการรู้จัก นั่งลงฟังกันอย่างลึกซึ้งไม่เคยเกิดขึ้น การยุติศึกที่ผ่านมาคือการยุติที่ไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนหรือทำความเข้าใจกันจริงๆ มันคือการยุติศึกเพียงชั่วคราว  แต่ยังมีความไม่ไว้ใจ และไม่เชื่อใจกันทั้งสองฝ่ายอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

การเดินเข้าไปยังปัญหา การพูดถึงปัญหา ทำความเข้าใจกับปัญหา แล้วแก้ไข สังคมไทยไม่ค่อยคุ้นชินนัก  ทุกอย่างจบลงด้วยการหย่าศึก แต่ก็มีเรื่องคาใจอยู่ทุกครั้ง   และถ้ากล่าวกันตรงๆ ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เคยเลิกเกลียดกัน แม้เหตุการณ์จะยุติไปแล้วก็ตาม

ปัญหาทางการเมือง  เงื่อนงำต่างๆ ตั้งแต่สมัยตุลา   สมัยพฤษภาทมิฬ และสงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว ก็คือความเกลียดชังที่สั่งสมกันมานาน  และ คือปัญหาที่สืบเนื่องและถูกส่งต่อมาจนถึงเมื่อวันวานนี้  วันที่มีเสียงปืนแตก อีกครั้ง

ข้าพเจ้าในฐานะคนที่เคยไปชุมนุมประท้วงสมัยพฤษภาทมิฬ ได้เรียนรู้และรับฟังมาว่า เมื่อมีเสียงปืนแตก นั้นคือการสิ้นสุด…   สิ้นสุดด้วยความรุนแรง และสูญเสีย  อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องถูกปราบ  และคนที่ใช้กำลังก่อนจะเป็นผู้แพ้  แต่ที่แน่ๆ ความเสียหายนั้นเอยู่ที่ประเทศชาติ  ดังนั้นการแพ้และชนะของแกนนำ  ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายที่มาชุมนุมประท้วง  ไม่มีอะไรมากมาย แต่คนที่เสียหายและตายจริงๆ คือประชาชน ผู้บริสุทธิ์ คือพลังบริสุทธิ์ิืที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ถูกต้อง  แต่เขาอาจต้องสละถึงชีวิต เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้น  ส่วนแกนนำไม่เคยต้องสละอะไรและสูญเสียอะไร แต่กลับอยู่สุขสบายดีและมีความก้าวหน้าในการเมืองด้วยซ้ำ

กงล้อประวัติศาสตร์หมุนซ้ำมารอยเดิม เพราะความโกรธความเกลียดมันได้สืบเนื่องมานานและยังอยู่คงเดิม ไม่ได้มีใครคิดจะแก้ไข  และสิ่งนั้นได้ถูกส่งต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลานเรื่อยๆ    ด้วยวิถีแห่งความคิด  ด้วยวัฒนาธรรม  ของสังคมไทยที่มีอาการ เิปิดๆ ปิดๆ   ทุกสิ่งจึงดูคลุมเครือไปหมด  แถมการให้อภัยกันอย่างแท้จริง ไม่เคยมีขึ้นในสังคมไทยเราเลย    เราอาจจะมีการอภัยโทษต่างๆ ในทางกฏหมายบ้านเมือง  แต่การให้อภัยโทษจากใจไม่เคยมีเกิดขึ้น  สังคมไทยจึงอยู่กันมาด้วยความคาใจในเรื่องราวต่างๆ ที่ทับถมกันมานาน  อาจจะทับถมกันมาตั้งแต่สมัยกรุงเก่าเลยก็ว่าได้

เพราะเราไม่เรียนรู้ในเรื่องของความต่าง และไม่เข้าใจในความเป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริง   เราทั้งหลายจึงไม่ยอมเข้าใจว่า  ในสิ่งสิ่งหนึ่ง  ในคนคนหนึ่งย่อมมีทั้งด้านดีและชั่ว ไม่มีใครดีเลิศงามพร้อม   เราไม่ยอมรับในความต่างเพราะเราไม่ยอมรับในอีกด้านหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลาย  เมื่อเราไม่ยอมรับและรู้สึกเกลียดชัง เราจึงคิดจะกำจัดสิ่งที่เราไม่ชอบออกไป   ยิ่งเรามองอะไรเป็นทวินิยมมากเท่าไหร่  เราก็ยิ่งติดยึดไปข้างใดข้างหนึ่ง แล้วคอยตัดสินและคิดจะทำลายสิ่งที่เราไม่ชอบ ทำลายสิ่งที่เราเกลียดออกไปมากเท่านั้น

พระพุทธองค์สอนให้เราทั้งหลาย  มองทุกสิ่งตามความเป็นจริง  ความเป็นจริงที่่ว่าก็คือ  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรคงที่ ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ   และควรมีอุเบกขาในการมอง ในการคิด  ในการเข้าใจในสิ่งทั้งหลาย  และอุเบกขาที่ว่านี้ ไม่ใช่อุเบกขาในแบบที่เข้าใจแบบโลกๆ

ข้าพเจ้าชอบหลักคำสอนของเซนมหายาน  ที่กล่าวว่า  หนึ่งในทั้งหมด และทั้งหมดคือหนึ่ง  หลวงปู่ติชก็กล่าวสอนเสมอว่า  ในตัวเราทั้งหลายก็มีทั้งดอกไม้และขยะ  เราจึงควรต้องยอมรับและเข้าใจ  มือขวาและมือซ้าย  ก็ไม่เคยแยกฝ่ายว่าอยู่คนละข้าง  เมื่อเราตอกตะปูด้วยมือขวา แต่อาจจะพลาดไปโดนมือซ้ายที่จับตะปูอยู่  แต่มือทั้งสองข้างก็ไม่เคยทะเลาะกันว่าใครผิด  ข้าพเจ้าคิดเห็นไปว่าถ้าคนไทยคิดว่า  ประเทศชาติคือร่างกาย  เราต่างเหมือนอวัยวะต่างๆ   ที่ทำหน้าที่ต่างๆ กันไป  เราก็จะไม่โทษกัน ไม่ทะเลาะกัน และเข้าใจกันมากขึ้น  เพราะถ้าอวัยวะต่างๆในร่างกาย เอาแต่ทะเลาะกัน  ร่างกายนั้นก็อยู่ไม่ได้  และเกิดความเจ็บป่วยขึ้นมาแทน   

 

เมื่อมองเข้ามาในร่างกายของเราเอง   ดูภายนอกก็อาจจะดูสะอาดสวยงามอยู่ แต่ภายในเนื้อหนังนี้มีสิ่งเน่าเหม็นอยู่หลายอย่าง  เรากินอาหารเลิศหรูเข้าไปทางปาก แต่เราขับถ่ายออกมาเป็นของเสียในวันถัดไป  เรามีน้ำเลือด น้ำเหลือง  น้ำลาย   อุจจาระ  ปัสสาวะ   ทุกอย่างถูกสร้างและส่งผ่านเข้ามาในร่างกายของเรา  แต่เราหลายคนก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่จะอยู่กับมัน  เพราะเราเข้าใจว่ามันคือหนึ่งเดียวกัน คือสิ่งที่ต้องอาศัย  คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแบบนั้น เมื่อมีของดีก็ต้องมีของเสีย และเราก็อยู่ร่วมกับมันได้   เราไม่เคยคิดว่าจะต้องกำจัดระบบใดๆออก  ระบบการขับถ่ายก็จำต้องมีอยู่ ระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตก็จำเป็นต้องมีอยู่ เช่นกัน  นี่คือความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลาย 

ถ้าประเทศชาติของเราเป็นดังร่างกายนี้  มันก็ย่อมจะต้องมีทั้งของดีและของเสีย  มีทั้งของที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ   มันจะแปลกอะไร ถ้าเราจะมีหลายสีหลายฝ่าย  เราจึงควรอยู่ได้ในความต่าง  แต่ทุกวันนี้เราอยู่ไม่ได้

และทำร้ายกันก็เพราะเราไม่คิดว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราคิดแยกส่วน และไม่ยอมมองเห็นความจริงในข้อนี้  เราจึงตัดกับดักของทวินิยม และไม่สามารถหลุดออกมาได้

สาเหตุที่เกิดมีความคิดแบบทวินิยมขึ้น ก็เพราะอัตตาตัวตนในคนเราทั้งหลายนั่นเอง  เพระเราคิดว่ามีเรา จึงต้องมีเขา    มีขาวจึงต้องมีดำ  มีดี จึงต้องมีชั่ว  มีตะวันตกก็ต้องมีตะวันออก   เพราะอัตตาตัวตนที่เปี่ยมล้น  จึงทำให้คนทั้งหลาย ทำลายทำร้ายกันได้ตลอดเวลา  เหตุเพราะอัตตา นั่นเอง 

การภาวนาด้วยหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการมองกลับเข้ามาในตัวตนของเราทั้งหลาย  เพื่อสลายอัตตาและความติดยึดออกไป  เมื่ออัตตาลดลง ความติดยึดในสิ่งต่างๆน้อยลง  เราจะเริ่มมองเห็นว่า  สิ่งทั้งหลาย แท้ที่จริงมันเป็นอย่างไร  เราจะถอดถอนการติดยึดในทวินิยม และมาอยู่ตรงกลางมากขึ้น  นั่นคือเราเริ่มเข้าใจในเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ไม่ด่วนตัดสินใครด้วยอคติที่เคยมีอยู่ เราจะเริ่มมองเห็นดอกบัวในโคลนตม เห็นความเป็นมนุษย์ในคนทั้งหลาย เห็นคุณค่าของชีวิต  เห็นความเป็นพุทธะในคนเสื้อสีแดง สีเหลือง  สีชมพู หรือสีใดๆ ก็แล้วแต่  ทุกๆคนมีความเป็นพุทธะอยุ่ภายใน  แต่เหตุและปัจจัยอันไม่ควร  ทำให้เขาเข้าใจผิดในสิ่งต่างๆ  และตัดสินใจทำอะไรผิดๆ ในบางครั้ง และอาจจะหลายๆครั้ง

เราจึงไม่ควรโทษกันและกัน  เราไม่ควรโทษเสื้อแดง ไม่ควรโทษเสื้อเหลือง ไม่ควรโทษรัฐบาล ไม่ควรโทษทหาร   เราโทษอะไรไม่ได้เลย เพราะทุกๆ คนยังมืดมนอยู่ในโลภะ โทสะ และโมหะ อย่างเต็มเปี่ยม   สิ่งที่เราต้องทำคือการให้อภัยกัน และเริ่มต้นใหม่  แม้คนอื่นๆ  อาจจะยังทำไม่ได้ แต่เราอาจจะต้องทำก่อนเป็นคนแรก

หลวงปู่ติชสอนว่า  “ Peace in oneself  Peace in the world “   ถ้าเราต้องการสันติสุข  ต้องการอิสระภาพ   เราต้องมีสันติภาวะในใจเราก่อน แต่มันอาจจะทำใจอยากอยู่ที่จะไม่รู้สึกโกรธและเกลียดใครบางคน ที่ต้องการทำร้ายประเทศชาติ   แต่ถ้าเรามองเข้าใปอย่างลึกซึ้ง  บางทีเราก็อาจจะเริ่มเข้าใจพวกเขาเหล่านั้น  ว่าทำไมและเพราะอะไร  เหตุเพราะเขาทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจ และไม่สามารถเห็นแจ้งในความจริงแท้ของสิ่งต่างๆ และบางครั้งเราทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น   เมื่อเข้าใจในเหตุและปัจจัยทั้งหลายมากขึ้น ในสภาวะเวลาที่ใจเราเป็นอุเบกขามากขึ้น เราก็จะไม่เกลียดชังพวกเขาเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก    แม้จะมีความเกลียดชังอยู่ในใจ  แต่ก็จะมีความเข้าใจเจือปนอยู่ในนั้นด้วย

ในสภาวะเช่นนี้  ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเกลียดขึ้นในใจเช่นกัน  ข้าพเจ้าไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าในบ้านเมืองของเรา ไม่ชอบกงล้อประวัติศาสตร์ที่หมุนมาจบตรงที่เดิมเสมอในวันที่เสียงปืนแตก และต้องใช้เวลาหลายวันในการทำความเข้าใจ สุดท้ายข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า  นั่นมันเป็นธรรมดาที่จะเกิดขึ้น

เพราะมันมีเหตุสืบเนื่องมา และไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงเลยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านพ้นไป    ในเวลาอย่างนี้  ข้าพเจ้านึกถึงบทกวีของหลวงปู่ติช  นัท ฮันห์  บทหนึ่ง  บทที่ชื่อว่า

Please call me by  my true name

 Do not say that I'll depart tomorrow
because even today I still arrive.

 Look deeply: I arrive in every second
to be a bud on a spring branch,
to be a tiny bird, with wings still fragile,
learning to sing in my new nest,
to be a caterpillar in the heart of a flower,
to be a jewel hiding itself in a stone.

 I still arrive, in order to laugh and to cry,
in order to fear and to hope.
The rhythm of my heart is the birth and
death of all that are alive.

 I am the mayfly metamorphosing on the surface of the river,
and I am the bird which, when spring comes, arrives in time
to eat the mayfly.

 I am the frog swimming happily in the clear pond,
and I am also the grass-snake who, approaching in silence,
feeds itself on the frog.

 I am the child in Uganda, all skin and bones,
my legs as thin as bamboo sticks,
and I am the arms merchant, selling deadly weapons to
Uganda.

 I am the twelve-year-old girl, refugee on a small boat,
who throws herself into the ocean after being raped by a sea
pirate,
and I am the pirate, my heart not yet capable of seeing and
loving.

 I am a member of the politburo, with plenty of power in my
hands,
and I am the man who has to pay his "debt of blood" to, my
people,
dying slowly in a forced labor camp.

 My joy is like spring, so warm it makes flowers bloom in all
walks of life.
My pain if like a river of tears, so full it fills the four oceans.

 Please call me by my true names,
so I can hear all my cries and laughs at once,
so I can see that my joy and pain are one.

 Please call me by my true names,
so I can wake up,
and so the door of my heart can be left open,
the door of compassion.

 Thich Nhat Hanh

 

 

 ในเวลาอย่างนี้  ข้าพเจ้าไม่เห็นหนทางอื่นใด  สำหรับสังคมไทย นอกจากการชำระสะสาง ความโกรธ ความเกลียด ที่ตกค้างอยู่ในใจของคนไทยทั้งหลาย  ด้วยการภาวนา 

การเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างกฏ  เปลี่ยนกฏหมาย  ยุบสภา  เปลี่ยนนายก  ยุบพรรคการเมืองต่างๆ   ยึดอำนาจ  เปลี่ยนแปลงการปกครอง   ตั้งกฏใหม่   วิพาษ์วิจารณ์ วิเคราะห์เหตุการณ์  หาคนผิด  แก้แค้น  ทำบุญประเทศครั้งใหญ่  สวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์   รดน้ำมนต์เป่าน้ำหมาก หรือแก้ปัญหาอะไรๆแบบโลกๆ อีกต่อไป  สิ่งที่เป็นไปได้และแก้ได้ก็คือ  การกลับมาเปลี่ยนแปลงที่ฐานราก   คือเปลี่ยนแปลงที่ในจิตในใจของคนไทยทั้งหลาย  ทุกหมู่ทุกเหล่า เพื่อให้เข้าใจในความจริงแท้ของสิ่งต่างๆ  ตามความเป็นจริง

   ด้วยการกลับมาภาวนาและใช้ชีวิตแบบ  “วิถีพุทธ”   ไม่ใช่การ “ถือพุทธ  “ เพราะพระพุทธศานาคือศาสนาประจำชาติ และหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็สอนให้เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อกัน    แต่ทุกวันนี้ที่มันเกิดขึ้นไม่ได้  และเป็นไปไม่ได้ เพราะเราทั้งหลาย มัวแต่ถือพุทธ  แต่ไม่ยอมใช้ชีวิตแบบ วิถีพุทธ  นั่นเอง .

  

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ทวินิยม
หมายเลขบันทึก: 351396เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2010 10:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

สรุปได้ดีมาก และจะกลับมาอ่านอีกนะคะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีปีใหม่ไทยเช่นกันค่ะครูอ้อย  ขอบคุณค่ะที่แวะมา

 

 

...วิถีพุทธ...(ในยุคนี้สมัยนี้)...คงจะต้องเริ่มต้น..ด้วย...การฝึกหัดเช็ด..ขี้...ตนเอง..(คำสอนแนวปฏิบัติ..ท่าน คเวสโก..วัดป่า..สุนันทวราราม..กาญจนบุรี)....ลองทำแล้วในบ้านตัวเอง...ทุกครั้งที่กลับบ้าน...ขัดจนสะอาด...จากไป..กลับมา..เหมือนเดิม....๕๕๕๕๖...ขอให้อายุมั่น..ขวัญยืน..และอยู่เย็นเป็นสุข..เจ้าค่ะ..(ชอบมากเลย..ข้อความที่เขียน)

...จงมองนิ้วที่ชี้..ออกไป...มองกลับมา..มีกี่นิ้วที่..กลับมาหา...ตัว....

....ขี้ตัวเองเหม็นไม่เป็นไร....(มองสังคมไทย)...(แนวคำสอนท่านคเวสโก)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท