วันนี้ (วันที่12 เมษายน 2553 )เวลา 17.00 น.ได้จัดพิธีเปิดป้ายชื่ออุทยานหลวงราชพฤกษ์และพิธีสวดมหาสันติงหลวง ณ ลานหน้าประตูช้างค้ำ อุทยานหลวงราชพฤกษ์โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี มีพระเมตตา เสด็จมาเป็นประธานในพิธี
การจัดงานครั้งนี้ เนื่องด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้รับแจ้งจากมูลนิธิโครงการหลวงว่าสำนักราชเลขานุการแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชื่อสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯราชพฤกษ์ 2549 ว่า “อุทยานหลวงราชพฤกษ์” ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2553 เป็นต้นมา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) จึงได้จัดงานฉลองชื่อพระราชทาน ขึ้นโดยจัดพิธีเปิดป้ายชื่ออุทยานหลวงราชพฤกษ์พร้อมทั้งจัดพิธีสวดมหาสันติงหลวง และจัดงานส่งเสริมวัฒนธรรมปี๋ใหม่เมือง ในวันที่ 12-16 เมษายน 2553 เพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อสืบทอดประเพณีของชาวล้านนาต่อไป
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงได้รับความเมตตาจากคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จัดให้มีพิธีสวดมหาสันติงหลวงซึ่งเป็นพิธีสวดแบบโบราณ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในนามของประชาชนชาวเชียงใหม่ ในวันที่ 12 เมษายน 2553 เวลา 18.00 น ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ซึ่งจะมีพระสงฆ์จากวัดทุกอำเภอ จำนวน 108 รูปนำโดยเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่มาร่วมสวดพร้อมคณะศรัทธาและประชาชน ประมาณ 1000คน สำหรับบทสวดมหาสันติงหลวงนั้น ในภาษากลางเรียกว่าบทสวดอุปปาตะสันติ เป็นบทสวดเพื่อสงบเคราะห์กรรม สงบเหตุร้าย เป็นบทสวดที่แต่งขึ้นโดยพระมหามังคละสีละวังสะ พระมหาเถระนักปราชญ์ของชาวเชียงใหม่ ในสมัยพญาติโลกราชเป็นบทสวดที่นิยมสวดกันอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น ต่อมาบทสวดดังกล่าวได้ตกไปอยู่ที่ประเทศพม่า และได้นำกลับคืนมาในประเทศไทยโดยพระอาจารย์ภัททันตะธัมมานันทมหาเถระอัครมหาบัณฑิตแห่งวัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง แต่ต้นฉบับเป็นภาษาบาลีอักษรพม่า ต่อมาท่านเจ้าคุณธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตะปัญโญ) ป.ธ. 9 วัดมหาโพธาราม ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ได้เป็นผู้ชำระคัมภีร์นี้เป็นภาษาบาลีอักษรไทย สำหรับอานิสงส์ของการสวดและการฟังบทสวดนั้นเชื่อว่าผู้สวดและผู้ฟังจะชนะเหตุร้ายทั้งปวง เจริญด้วยวุฒิภาวะคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฎิภาณ ปลอดภัยจากสิ่งร้าย ไม่มีอกาลมรณะคือตายก่อนอายุขัย ทุนนิมิตคือลางร้ายต่างๆหายไป และหากเข้าสนามรบย่อมชนะศึกและ แคล้วคลาดจากอาวุธ
สำหรับการจัดงานส่งเสริมประเพณีปี๋ใหม่เมืองนั้น จัดขึ้นในวันที่13-15 เมษายน2553 เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ที่ยึดถือกันมาแต่โบราณของล้านนาที่ได้ลบเลือนหายไป เพื่อฟื้นฟูความงดงามและรุ่มรวยแห่งวัฒนธรรมล้านนาซึ่งเป็นอู่อารยะธรรมที่หลากหลาย เป็นแหล่งรวมของชนชาวล้านนาดั้งเดิม ทั้งไทยวน ไทยอง ไทลื้อ ไทเขิน ที่ต่างมีวัฒนธรรมประเพณี ที่สวยงามและมีความหมาย อุทยานหลวงราชพฤกษ์ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและเครือข่ายวัฒนธรรมล้านนา จึงได้ร่วมกันจัดงานสงกรานต์ล้านนาในอุทยานหลวงราชพฤกษ์ขึ้น เพื่อฟื้นฟูประเพณีสงกรานต์ล้านนาให้เป็นที่รู้จักและชื่นชมกันอีกครั้งโดยมีกิจกรรมที่สำคัญในวันต่างๆคือ
วันที่ 13 เมษายน 2553 วันสังขานต์ล่อง มีพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ การปั้นแป้งตามปีเกิดและ พิธีแห่แพต้นกล้วยล่องสังขานต์
วันที่ 14 เมษายน 2553 วันเนาว์ หรือ วันเน่า มีการตัดตุง เพื่อใช้ถวายเจดีย์ทราย และการก่อเจดีย์ทราย บริเวณลานราชพฤกษ์
วันที่ 15 เมษายน 2553 วันพญาวัน - พิธีแกะสลักไม้ค้ำและ พิธีแห่ไม้ค้ำสะหลีหลวง
ตลอดทั้ง3 วัน ระหว่างวันที่13-15 เมษายน 2553 มีกิจกรรมหลายอย่างประกอบด้วยการทำอาหารพื้นเมือง การทำตุง หรือธง เครื่องใช้ในประเพณีปี๋ใหม่เมือง และการทำเรื่องสักการะแบบต่างๆของล้านนา การแสดงศิลปวัฒนธรรมสี่ภาค การซอพื้นเมือง กาดหมั้วคัวกิ๋นคัวใจ๊ และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้านมัสการพระพุทธรูปประจำอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ทั้งนี้ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ได้รณรงค์ให้มีการรดน้ำอย่างสุภาพ ด้วย
การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากหลายฝ่ายดังที่ได้กล่าวนามมาแล้วอีกทั้งได้มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญถวายจตุปัจจัย แด่พระสงฆ์ และร่วมทำบุญในการพิมพ์บทสวดมหาสันติงหลวงสำหรับแจกแก่ผู้เข้าร่วมพิธีในรวมทั้งทำบุญเพื่อตั้งโรงทานอีกด้วย
เมื่อถึงเวลา 17.09 น. นายสุทัศน์ ปลื้มปัญญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน)กล่าวถวายรายงานจากนั้นหม่อมเจ้าภีศเดช ก็เสด็จไปตีฆ้องชัยและเปิดแพรกลุมป้านจากนั้นแขกทุกคนก็ขึ้นรถพ่วงไปยังหอคำหลวง ร่วมกันสวดมนต์เป็นเวลาถึงเกือบชั่วโมงครึ่ง
ไม่มีความเห็น