สวัสดีปีใหม่ไทย : มหามุทราอุปเทศ


 

        ใกล้วันปีใหม่ไทยเข้ามาทุกที จึงขอนำสุดยอดองค์ความรู้ที่ได้พบโดยบังเอิญมาเป็นของขวัญปีใหม่แด่ชาว G2K นั่นคือ คำสอนปากเปล่าเรื่อง "มหามุทรา" อยากให้ท่านทั้งหลายค่อย ๆ อ่านด้วยใจอย่างใคร่ครวญและทดลองฝึกปฏิบัติตามอย่างไม่รีบร้อนดูนะครับ

          

มหามุทราอุปเทศ 

 

            คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา ซึ่งท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่านนาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา

            แปลจากสันสกฤตสู่ภาษาธิเบตโดย ชอคยีโลโตร มารปะ คัมภีราจารย์

 

            ขอคารวะต่อสหัชปัญญา

 

             มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสงได้

             ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา

             และได้แบกรับซึ่งทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา

             จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ  ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล

 

             ขอจงสดับ

 

             มองดูที่สภาวธรรมของโลก

             ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน

             แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง

             ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ

             และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก

 

            จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร

            อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง

            บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถานในที่อันสงัด

            ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ

            หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา

 

            สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร

            ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง

            สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง

            ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า

            สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้

            สภาวะธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้

 

            หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึงอจิตและอกรรม

            เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต

            และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย

            จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง

            ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด

            แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล

            หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไส

            เจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทรา

 

            เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน

            หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลงเช่นเดียวกัน

            หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง

 

            ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปป์กัลป์

            จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง

            เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา

            จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม

            มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้

 

             จงเพ่งการกำหนดรู้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า

             โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌาณวิถี

             จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ

          

             หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง

             ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป

             เช่นเดียวกัน  หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้

             ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง

             เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง

             และจะได้รับรู้ได้ถึง "โพธิจิต"

 

             หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ

              และหายลับไปในผืนฟ้า

              ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปแห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง

              เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต

              ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต

 

              ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

              ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว

              เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

              ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล

 

              แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์

              ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด

              ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์

              เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต

              ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด

 

              แม้เราจะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า

              และไม่อาจให้คำจำกัดความได้

              เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าวว่าจิตนั้นสว่างไสว

              แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง

              ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน

              เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่

 

              โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในภาวะแรกเริ่ม

              ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง

              แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง

              ด้วยเหตุนี้  จึงหามีสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่

              ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริง

              ยุติความช่างจำนรรจา

              ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ

              ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง

 

               กายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่

               จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง

               ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย

               จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่

               เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา

               การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด

 

               ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์

               เจ้าจจะพบมรรคาของพระพุทธองค์

               เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา

               โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ

               นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ – ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครอง

               นี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่าน

               นี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายาม

                เมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์

 

                ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมอง

                จงผ่อนพักจิตใจสภาวะแรกเริ่ม

                อันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้น

              เมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้า

              เราจะได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะ

              เป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวล

 

              การไร้ขอบเขตและความลึกซึ้งนั้น

              เป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิ

              การตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้น

              เป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรม

              การดำรงตนอย่างไร้ความมุ่งหวังนั้น

              เป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผล

 

 

             ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดังแม่น้ำคลั่ง

             ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย

             ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง

             คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร

        

             ผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตา

             ในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลาย

             สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญา

             ย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้

             ไร้จิต ไร้ความปราถนา

             สงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง

             เปรียบประดุจกระแสน้ำ

             ความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหา

 

             สมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีล

             หากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้

             หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุด

             เมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้

             เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมน

             หากเจ้าปราศจากความปรารถนา

             หากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใด ๆ

             เจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวล

            

             หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้

             เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

             หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้

             เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป

             ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง

             “ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน”

 

              แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลา

              ที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้

              ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงไปในสังสารวัฏ

              น่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้า

               ผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์

               จะต้องแสวงหาซึ่งคุรุผู้ทรงคุณ

               ด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อย

        

                หากเจ้าแสวงหากรรมมุทรา เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่ง

                 การประสานรวมของปิติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น

                 การผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์

                 จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑล

                  ให้สถิตอยู่ ณ จักรและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

 

                 เมื่อปราศจากความปราถนามาข้องเกี่ยว

                 การผสานรวมกันของปิติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น

                 ถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาว ปราศจากผมหงอกขาว

                 เจ้าจะเต็มเปี่ยมดังดวงจันทร์

                 ทรงประภารัศมี อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้

                  เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลัน

                  และจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธา

                  ขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้

                  คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชค

 

คัดมาจากหนังสือ “The myth of freedom and the way of meditation” ของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช แปลโดย อนุสรณ์ ติปยานนท์

 

            

 

           

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 349940เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2010 10:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (49)

ขอขอบพระคุณค่ะอาจารย์

สำหรับ"สุดยอดองค์ความรู้" ของขวัญปีใหม่ไทย

ให้สู่...ความสงบงามภายใน

 

สวัสดีครับ คุณ นาตยา พุ่มพฤกษ์

  • อยากให้ลองอ่านด้วยใจอย่างใคร่ครวญช้า ๆ ดูนะครับ
  • อาจดูเหมือนเข้าใจยากนิดหนึ่ง แต่ถ้าอ่านช้า ๆ ไม่รีบร้อนหลาย ๆ รอบ คงพอทำให้เข้าใจได้
  • ตัวผมเองก็อ่านอยู่หลาย ๆ ต่อหลายรอบ ซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ฝึกปฏิบัติตามทีละวรรค พบว่า ได้ผลดีมาก พัฒนาไปสู่ความสงบงามภายในได้ดีมากครับ

 

กราบสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะท่าน อ.ดร.

               ขอบพระคุณสุดยอดองค์ความรู้คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา

            ......มองดูที่สภาวธรรมของโลก

             ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน

             แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง

             ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ

             และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก

 

อยากให้พวกที่แก่งแย่งอำนาจกันอยู่ได้อ่านจังค่ะ

 

....สุขสันต์วันปีใหม่ไทยค่ะท่านอาจารย์......

                               ศศินันท์

สวัสดีครับ คุณ มาตายี

  • ผมว่าเป็นคัมภีร์ที่ดีมากอีกชิ้นหนึ่งครับ ผมอ่านอยู่หลายรอบพยายามตีความ และทดลองฝึกปฏิบัติตาม พบว่า จิตวิวัฒน์ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญครับ
  • อยากให้คุณ มาตายี และท่านทั้งหลายอ่านหลาย ๆ รอบนะครับ

 

นางสาวดาวรรณ์ สารอินทร์ (52011310589)

จงปล่อยวางทุกอย่างให้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงยั้งยืนเเม้เเต่ความฝันก็ไม่มีความจริง

ปล่อยวางเเต่ไม่ใช่หยุดคือการค่อยๆปล่อย ถ้าเราหยุดการกระทำนั้นโดดทันทีก็เหมือนการที่เราขุดรากต้นไม้

ต่อมาลำต้น ใบ เเละทุกสิ่งที่อยู่ในต้นไม้ก็จะเหี่ยวเเห้ง ถ้าคนเราเป็นเช่นนั้นเราก็คงอยู่ไม่ได้

สรุป คืออยู่อย่างปล่อยวาง เป็นกลาง ไม่ยึดเหนี่ยว

นางสาวนิภาวรรณ เพิ่มพูน

การมองโลกไม่เที่ยงไม่แน่นอนนั้นก็คือภาพมายาคือความฝัน

จึงให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้วบำเพ็ญตนด้วยการทำสมาธิ

ดิฉันคิดว่าเป็นคัมภีร์ที่ดีมาก ถ้าอ่านแล้วทำได้คงจะประเสริฐยิ่ง แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันคงจะทำได้ไม่มาก ก็น้อย

แต่จะให้ทำหมดคงทำได้ยากหรือต้องใช้เวลานานมาก

แต่ก็อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนอ่านค่ะ และดิฉันเองก็จะเอาบทความในคัมภีร์นี้ไปเผยแพร่ให้เพื่อนให้อ่าน

เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก

ณัฐเศรษฐ์ โสภารัตน์

มีคำเปรียบพระพุทธศาสนาเหมือนมหาสมุทร ซึ่งค่อยลึกลงไปโดยลำดับ ใจกลางของมหาสมุทรนั้นลึกล้ำ ยากที่จะหยั่งถึง พระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ส่วนที่ลึกซึ้งที่สุดคือพระปรมัตถธรรม เพียงแต่ความรู้อันได้จากการศึกษาทางพระปริยัติธรรมหาพอเพียงที่จะเป็นเครื่องมือให้หยั่งรู้พระปรมัตถธรรมได้ไม่ เพราะความรู้ชั้นนั้นเป็นเพียงสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา พระปรมัตถธรรม เป็นวิสัย แห่งการภาวนามยปัญญาจะพึงหยั่งรู้ได้

อังศุมาลิน ภูต้องใจ

ขอขอบพระคุณอาจายร์มาก

ที่ได้นำสาระดีๆมาให้อ่าน

หนูจะนำเก็บไปคิดและใช้ปฏิบัติ

ให้ได้นะค่ะ

นางสาวนัยนา วรรณทา (51011011300)*-*

ดิฉันคิดว่าเป็นคัมภีร์ที่ดีมาก ถ้าอ่านแล้วทำได้คงจะประเสริฐยิ่ง แต่ดิฉันคิดว่าดิฉันคงจะทำได้ไม่มาก ก็น้อย

แต่จะให้ทำหมดคงทำได้ยากหรือต้องใช้เวลานานมาก

แต่ก็อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนอ่านค่ะ และดิฉันเองก็จะเอาบทความในคัมภีร์นี้ไปเผยแพร่ให้เพื่อนให้อ่าน

เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก

นภัสชนก อนันตชัยสิริ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาล้วนไม่จีรัง

ไม่ควรที่จะยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

จงทำใจให้ปล่อยวาง.......

ก็จะเกิดความสุขแก่ตัวเอง

ปริญญ์ ชุปวา (51010311171)

หากเราปล่อยวางทางโลก เราจะพบความสุขที่แท้จริงครับ

นางสาววีรินทร์ เตาเงิน

หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้

เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้

เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง

“ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน”

วรรคนี้เหมือนอาจารย์ในตอนนี้เลยค่ะ...อิอิ

ขอบคุณสิ่งดีที่มอบให้นิสิตนะคะ

นายกรกฎ ทองประสงค์

เรียนอาจารย์ที่เคารพครับ จากที่ผมได้อ่านสุดยอดองค์ความรู้มหามุทราอุปเทศ ก็มีความเข้าใจว่า

คนเราทุกคนมีความฝัน แต่ความฝันไม่มีความเที่ยงแท้

มหาสมุทรเปรียนถึงการบรรลุ ถ้าคนเรามีสติ มีสมาธิ และสามารถปล่อยวางได้

เราก้อจะสามารถค้นพบมหาสมุทร ส่วนที่ผู้ที่ด้ยปัญญา ถ้าขาดสติอาจเข้าถึงความมืดได้ครับ

เกียรติศักดิ์ พลสัสดี[51010912542]

ขอบคุณสำหรับ องค์ความรู้ ครับผม

จากที่ได้อ่าน ผ่านไปรอบหนึ่ง ก็พอที่จะตีความได้ว่า

การที่จะเข้าถึง มหามุทรา นั้น เราต้องปล่อยวางทุกๆสิ่ง แต่ไม่ใช่ไม่คิด ทำใจให้มี สมาธิ แล้วก็จะเกิด การรู้ ที่เป็น

การรู้แบบกระจ่างแจ้ง ทุกสิ่งอย่าง ล้วนไม่มีแก่นสาร อย่าไปยึดติดกับสิ่งรอบกาย แต่ ความรู้ยังไงก็เป็นสิ่งที่เป็นความจริง

เป็น ความจริงอันประเสริฐ ไม่มีอะไรมาเทียมเท่าได้ ดังเช่น ความมืด ไม่มีทางมา บดบัง แสงจากดวงอาทิตย์ได้

ถ้าเรามี สมาธิขั้นสูง และปล่อยวางจากทุกสิ่งแล้ว เราจะมองเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง และ จริง

อ่าน คร่าวๆ ตีความได้แบบนี้ครับผม

ไม่คบคนพาล อย่าคบมิตรที่พาล สันดานชั่วจะพาตัวเน่าดิบ จนฉิบหายแม้ความคิดชั่วช้า อย่ากล้ำกรายเป็นมิตรร้าย ภายในทุกข์ใจครัน

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน แลฉันใดเราจึงเป็นเช่นนี้

การตั้งตนชอบ ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี

ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้

นาย ธนวัฒน ชัยสาร(51011211098)

ไม่รู้จะถูกป่าวนะครับตอนนี้

หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้

เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้

เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง

“ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน”

ความคิดผมนะครับ คือ หากเราแน่วแน่ในความเพียรแล้ว เราจะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้

ถ้าตั้งใจจริงๆแล้วจะทำให้เราเป็นคนฉลาดไม่โง่ จึงทำให้ เป็นคนเก่ง คนฉลาด แล้วเข้าใจในคำสอน ต่างๆ

สัจธรรม คือความจริง ความเป็นไป คัมภีร์นี้ดีครับ ถ้าอ่านแล้วนึกถึงธรรมชาติ เพราะความจริงคือสิ่งที่ไม่ตาย

นายชาญณรงค์ ศรีบ้านเหล่า

สวัสดีครับอาจารย์ จากบทความ มหามุทราอุปเทศ

เมื่อผมได้อ่านแล้ว สามารถสื่อให้เห็นถึง การปล่อยวาง ทำจิตใจให้สงบ ชีวิตคนเรานั้นไม่เที่ยงแท้ การทำสมาธิ

ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

มหามุทราอุปเทศ เป็นองค์ความรู้ที่ดีมาก อยากให้ทุกคนได้อ่านมาก

ปล่อยวางในทางโลก

เลือกเดินทางสายกลาง

เป็นสิ่งที่ควรนำมาใช้ชีวิตประจำวัน

นายทศพล วิมลเศรษฐ

ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดังแม่น้ำคลั่ง

ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย

ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง

คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร

*ผมชอบมากครับบทความนี้

อ่านแล้วคิดถึงคุณแม่อ่ะ

เหอะๆ

แต่ก้มีหลายวรรคเหมือนกันนะคับที่ชอบ

ขอบคุณอาจารย์คับที่นำมาให้อ่าน

จับประเด็นได้ว่า..............

“ถ้ามองโลกของเราในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีอยู่จริง คือ ทุกสิ่งนั้นล้วนไม่ใช่ของของเรา ให้เราเสียสละและปล่อยวาง ไม่ควรยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ควรใช้สติไตร่ตรองให้รอบคอบ”

นาย วสิษฐ์ ไชยคำมิ่ง

มหามุทราอุปเทศ

เป้นการเน้นในด้านกานปล่อยว่าง จิตใจ พึ่งปฎิบัติให้สงบ

ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์

เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์

เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา

โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ

นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ

ยิ่งยงค์ จงสมชัย ( 51010311231 )

จากเรื่องที่ได้อ่าน คือ

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน้นอน ควรคิด วิเคราะห์ให้แน่ใจ

ก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ

ควรปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เราเกิดทุกข์

ควรยึดเอาสิ่งที่เป็นกลาง

...............จบ ค๊าพ.............^^~

นายจิรพันธ์ แสนประสิทธิ์ (51010311417)

สิ่งที่เป็นแก่นแท้สำหรับมนุษย์คือจิตใจที่เปรียบด้วยความดี

เพราะมันจะติดตัวเราไปตลอดทุกภพทุกชาติ

ซึ่งจะรวมสิ่งอื่นๆ มาประกอบเข้าด้วย เช่นการปล่อยวาง การมีสติ มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ ฯลฯ

เพราะสิ่งต่างๆ ที่เราเห็น ร่วมแต่มีการสูญสิ้น ดับสลายไปทั้งนั้น

เราจึงเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ ผู้ที่เจริญแล้วมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

จักรี ศรีจันท์ก่ำ(51011223031)

ในโลกกลมๆใบนี้ไม่มีอะไรที่ "แน่นอน"

อย่ากังวลเกินไปกับสิ่งที่มารบกวนจิตใจ จงปล่อยวางบ้าง

ทำใจให้เป็นสงบและเป็นสุข

แล้วจะมองเห็นความสุขที่แท้จริงที่ตามหา

นาย ปรีชา พรมโยธา [ 52011225053 ]

มหามุทราอุปเทศ เป็นบทความที่พยายามทำจิตใจให้ว่างเปล่าปล่อยวางจิตใจ

เเต่ผมยังมั่ยค่อยเข้าใจเท่าไหร่นะครับ...เเต่ผมจะพยายามทำความเข้าใจ

เเต่คงต้องอ่านอีกหลาย ๆ รอบเลยทีเดียว

นางสาวอรอนงค์ ชามาตร (52010916401)

การเรียนรู้ที่จะกระทำการร่วมกับข่าวสารแห่งจักรวาล ซึ่งก็คือข่าวสารพื้นฐานในสถานการณ์ชีวิตอันเป็นหลักธรรมคำสอนด้วยเช่นกันเราไม่จำเป็นต้องไปศึกษาพระธรรมคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาเท่านั้น หากเรายังสามารถอ่านสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์ชีวิตได้อีกด้วยเราอยู่อย่างไร ที่ไหนสถานการณ์อันมีชีวิตเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยข่าวสาร ซึ่งเราอาจอ่านถอดรหัส และกระทำการร่วมกับมัน.....

สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร

ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง

สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง

ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า

สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้

สภาวะธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้

             ...หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้

             ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง

             เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง

             และจะได้รับรู้ได้ถึง "โพธิจิต

 

หากเราเข้าถึงจิตที่แท้จริงได้ เราก็จะสามารถรับรู้จิตใจอันแท้

...............โดยปราศจากความนึกคิด...............

เพราะสัตว์ทั้งปวงมีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้(รู้ธรรม)อยู่ในตนเอง

นวิยา สัจจา ( 52011225094 )

...หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง

เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง

และจะได้รับรู้ได้ถึง "โพธิจิต

หากเราเข้าถึงจิตที่แท้จริงได้ เราก็จะสามารถรับรู้จิตใจอันแท้

...............โดยปราศจากความนึกคิด...............

เพราะสัตว์ทั้งปวงมีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้(รู้ธรรม)อยู่ในตนเอง

จากข้อความข้างต้นที่อาจารย์บอกต้องอ่านช้าๆ

คำบางคำเราอาจจะงง แต่พออ่านไปเรื่อยๆเราจะรู้สึกเข้าใจความหมาย

**ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจเราทั้งนั้น .......

สวัสดีค่ะท่าน อ.ดร. 

          ในโอกาสวันปีใหม่ไทยและวันครอบครัว

            ขอให้มีความสุข...ฮักกัน...แพงกัน นะคะ

                                                  ครูกระแต

น.ส.ลำใย พูนพิพัฒน์ (52011270042)

สำหรับมหามุทราอุปเทศ

เมื่อดิฉันอ่านแล้วรู้สึกถึงความหมายของสมถะและวิปัสสนา

พร้อมทั้งการเดินปราณได้ด้วยในโศลกบทนี้

หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึงอจิตและอกรรม

เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต

และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย

จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง

ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด

แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล

หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไส

เจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทรา

 

สวัสดีครับ ครูกระแต

 

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย ขอคุณพระศรีรัตนตรัยช่วยให้ครูกระแตและครอบครัวมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นเทอญครับ

 

 

 

 

  • หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมมีการแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในกระทู้นี้มากผิดปกติ ขอเรียนว่า ความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นของสานุศิษย์ที่เรียนกับผมเอง โดยผมใช้บันทึกนี้เพื่อการนำเข้าสู่บทเรียนครับ

 

สวัสดีปีใหม่ไทยครับอาจารย์

         จิตที่สงบ  ย่อมเกิดจากการฝึก  การเข้าถึงจิตที่สงบ   สว่างไสว  เสมือนการเดินทางชีวิตบนทางที่เรียบง่าย

นายวีระศักดิ์ มูลคำ

เราจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างได้

ขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราเองนะครับ

นายทศพล วิมลเศรษฐ

กายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่

จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง

ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย

จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่

เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา

การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด

*กายสำคัญแต่จิตใจสำคัญกว่า ถ้าจิตใจดีกายก็จะดีตามถึงแม้กายจะไม่สมบูรณ์*

นัยนา ผิวผ่อง (51011314092)

การที่เราผ่อนคลายจิต ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่ เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย

การที่เราจะทำอะไรนั้นต้องตั้งสติก่อนทำทุกครั้ง ไม่ใช่ทำแล้วค่อยคิด

ความสุขที่แท้จริงอาจเกิดจากความปล่อยวาง การทำจิตใจให้สงบสุขบริสุทธิ์

การที่เราองโลกในแง่ดี ไม่อิจฉา ริษยา

แค่นี้ชีวิติเราก็มีความสุขแล้ว

        คืนวันที่ ๑๕ พ.ค. ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ตอนไปสอนที่จังหวัดศรีสะเกษนั้น ได้มีโอกาสอ่านคำสอน "มหามุทรา" อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ผมจึงพยายามค้นหาภาพเท่าที่มีที่คิดว่าใกล้เคียงมากที่สุด ได้ภาพด้านล่างนี้ครับ จึงนำขึ้นไปใส่ในบันทึกดังที่เห็น ลองพิจารณาดูดี ๆ นะครับ ว่าสอดคล้องกับ "มหามุทรา" มากน้อยเพียงใด

 

 

 

 

ผู้รู้ให้การชี้แนะเกี่ยวกับภาพดังกล่าว ไว้ดังนี้ครับ

 

อมนุษย์ ที่ถือ วงล้อ แห่งสังสารวัฏฏ์ คือ ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใส่มงกุฏ มีกระโหลก ห้า อัน คือ เบญจขันธ์ ซึ่งกล่าวได้ว่า เบญจขันธ์ นั้นไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา

วงกลมด้านนอกที่มีภาพ ๑๒ ภาพ คือ ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ (นับเริ่มจากด้านล่างซ้ายมือ)

๑. คนตาบอด คือ อวิชชา
๒. คนปั้นหม้อ คือ สังขาร
๓. ลิงถือต้นไม้มีผลไม้ คือ วิญญาณ
๔. นายกับบ่าวพายเรือ คือ นาม-รูป
๕. บ้าน คือ อายตนะทั้งหก
๖. คนกอดกัน คือ ผัสสะ
๗. คนโดนธนูเสียตาวิ่งโวยวาย คือ เวทนา
๘. คนกินเหล้า คือ ตัณหา
๙. ลิงถือผลไม้ยื่นให้คน คือ อุปาทาน
๑๐. หญิงตั้งครรภ์ คือ ภพ
๑๑. หญิงคลอดลูกคือ ชาติ
๑๒. คนหามศพ คือ ชรา-มรณะ

ซี่ล้อแบ่งออกเป็นหกส่วน บนสาม ล่างสาม

ส่วนบนซ้ายมือ คือ ภพมนุษย์
สวนบนสุด คือ ภพสวรรค์ทั้งหกชั้น และ พรหมโลก
ส่วนบนขวามือ คือ ภพอสูร
ส่วนล่างขวามือ คือ ภพของเปรต
ส่วนล่างสุดคือ นรก
ส่วนล่างซ้ายมือ คือ ภูมิของสัตว์เดียรัจฉาน

วงกลมถัดเข้ามาจากซี่ล้อที่มีสองสี คือ ทางแห่งกุศลกรรม และ ทางแห่งอกุศลกรรม

ซีกสีขาว มีรูปคนเจ็ดคนหมายถึง สัปปุริสธรรมทั้ง ๗ คือ หลักของการเป็นคนดีในทางพระพุทธศาสนา ได้แก่

๑.ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ
๒.อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล
๓.อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน
๔.มัตตญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
๕.กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา
๖.ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักบริษัท ประชุมชน และสังคม
๗.ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคล ว่า บุคคลนี้เป็นคนดีควรคบ
ผู้นี้เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ

ส่วนซีกสีดำ คือ พวกทำชั่ว ก็จะไปเกิดใน ทุคติภูมิทั้งสี่ คือ เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก

ส่วนวงล้อด้านในสุด คือ กิเลสสามตัว ได้แก่ โลภะ โมหะ โทสะ (สำหรับฆราวาส) หรือ ราคะ โมหะ โทสะ (สำหรับบรรพชิต)

ไก่ คือ โลภะ (ราคะ)
หมู คือ โมหะ
งู คือ โทสะ

 

สวัสดีครับ ครูกระแต

  • กลับจากนิวซีแลนด์ได้ไม่นาน ก็เดินทางไปจัดงานประชุมนานาชาติ ICER2010 ที่เวียตนามต่อ
  • พึ่งกลับมาถึงวันศุกร์ที่แล้วนี่เองครับ

lสวัสดีครับท่านอ.ดร.

สวัสดีปีกระต่ายครับ

ครูป้อม(วีระศักดิ์ ไชยโย)

สวัสดีปีใหม่ครับ ครูป้อม

ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นนะครับ

 

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ ครับ

 

    ปีนี้ไม่มีอะไรจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ท่านทั้งหลาย

วันนี้ (9 มกราคม 2554) ผมบังเอิญได้อ่านทบทวน "มหามุทราอุปเทศ" อีกครั้งหนึ่ง

พบว่า โอ้โฮ! เป็นสุดยอดคัมภีร์ ลึกซึ้งกว่าที่เข้าใจแต่เดิมนัก

    อยากให้ท่านทั้งหลายอ่านด้วยใจอย่างใคร่ครวญหลาย ๆ รอบ โดยไม่ต้องรีบร้อน

ถ้าเห็นอะไรดี ๆ ก็นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้นะครับ

 

สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับทุกท่าน

 

 

วีระศักดิ์ ไชยโย (บริหารบุรีรัมย์7)

ขอเชิญอ.ดร.มาดูฟุตบอลบุรีรัมย์peaและบุรีรัมย์เอฟซีครับทีมงานบริหาร7รอต้อนรับ

ขอบคุณ อ.วีระศักดิ์ และทีมงานฯ มากครับ

ต้องกลับไปดูบุรีรัมย์ PEA ให้ได้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท