สวัสดีครับคุณ จรรย์รับฟังและเชื่อใจคนอื่นยากครับ ที่ยากกว่าคือเชื่อใจตัวเองครับ
เข้ามาเรียนรู้ด้วยครับ
เข้ามาเรียนรู้ด้วยคน
ขอบคุณขอรับ
กิจกรรมจิ๊ดนี่ผมมักเรียกว่ากระดาษสี่ช่องครับ มีข้อคิดเห็นที่ได้จากการทำกิจกรรมนี้มาหลายสิบครั้ง
ช่องที่ ๑ คือการทำให้เราใจเย็นขึ้น ไม่โมโหง่าย เราก็จะไม่โต้ตอบอย่างไม่ทันคิดต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนอื่น
กล่าวคือไม่เอาพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนอื่น มาทำให้เราเกิดพฤติกรรมที่ไม่ดี
อาจจะโมเมว่าเป็นการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว อย่างในโอวาทปาฏิโมกข์ก็ได้
อย่างไรก็ตามแม้เราจะไม่โมโหแล้ว แต่เราก็ต้องไม่ยอมปล่อยให้พฤติกรรมนั้น (เช่นมาสาย เอาเปรียบ) คงอยู่ตลอดไป ยังไงก็ต้องแก้ไข แต่แก้โดยใจเย็น
ในช่องที่ ๔ นั้น ผมมักบอกว่าแม้จะเป็นการเสแสร้งบ้าง สร้างภาพบ้าง แต่ถ้าทำจนเป็นนิสัยก็อาจจะเป็นของจริงสักวันหนึ่ง แล้วให้กำลังใจไป มีความไม่สบายใจอยู่บ้าง เพราะบางทีอาจจะก่อให้เกิดค่านิยมที่ไม่ดีขึ้น เช่นบอกว่าที่ซื่อสัตย์เพราะโง่ หรือเพราะยังไม่มีทางโกง ตรงนี้อาจจะต้อง comment ให้ผู้ร่วมกิจกรรมระวังไว้บ้าง
ผมเพิ่มอีกช่องหนึ่ง เรียกเองว่าช่อง ๒.๕ ซึ่งได้แนวคิดมาจาก Satir model ที่เชื่อว่าการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ของเรานั้นจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง ก็เอามาปรับกับช่องที่ ๒.๕ โดยให้แต่ละคนลองคิดว่าอะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้เราไม่ชอบพฤติกรรมช่อง ๒ นั้น
พอลองวิเคราะห์แล้วจะตกใจครับ ผมลองทิ้งเป็นการบ้านไว้เท่านี้ก่อนคุณ By Jan ลองวิเคราะห์ช่อง ๒.๕ ของตนเองก่อนนะครับแล้วลองมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน พอทำแบบนี้จึงเข้าใจว่าคำว่า voice dialogue น่าจะเป็นช่อง ๒.๕ นี้เอง
ช่วงที่มีการสรุปกิจกรรมนี้ ก็มีข้อเสนอแนะจากพี่อินทรย์ชาย (ตัวเดียวในหมู่พวกเรา) คือ ได้เสนอว่ามีนควรจะมีช่องที่ 5 ด้วย ให้บังเอิญเหลือเกินว่ามุมมองของพี่แกตรงกับของคุณหมอเป๊ะ พอดีหมดเวลาเราก็เลยไม่ได้ลองวิเคราะห์กัน พอกลับมาก็ต่างคนต่างวุ่นวายกับการเตรียม ICV (HA) และเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ช่วงสงกรานต์
ในส่วนตัวได้ใช้แนวคิดของ Satir model ในหลายเหตุการณ์ โดยไม่รู้ตัว ที่บ่อยมากคือกรณีไกล่เกลี่ย ผู้ร่วมงานที่มีข้อขัดแย้งกัน ทุกอย่างมันมีเหตุผล อย่างคนที่มาทำงานสายก็ยังเป็นปัญหาขององค์กร อยู่ถึงแม้จะเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็สร้างความหงุดหงิดให้ผู้ร่วมงาน และรู้สึกไม่ยุติธรรม เกิดความขัดแย้ง ก็ต้องแก้อย่างใจเย็น เหมือน PDSA อยู่หลายรอบ (10 ปี เห็นจะได้ กว่าจะได้คำตอบว่าอะไรคือเหตุที่แท้จริง และเราต้องแก้เกมอย่างไร ที่ไม่ใช้การลงโทษ) จากสาย 45-60 นาที ตอนนี้สายไม่เกิน 5 นาที ซึ่งผู้ร่วมงานยอมรับได้
การลงโทษผู้กระทำผิดใช้ไม่ได้ผลเสมอไป กลายเป็นข้อสรุปของการแก้ปัญหาคนมาสาย และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะ เหตุผล ต่างกัน
พฤติกรรมเดียวกันของคนละคนอาจจะมีสาเหตุที่ต่างกันครับ
การแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่แต่ละคนจึงอาจจะต้องใช้วิธีต่างกัน บางคนก็ต้องลงโทษครับ บางคนเตือนก็พอ
พรพ (สรพ) มักชอบให้เราทำแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนทำแบบเดียวกัน
ถ้าทำได้ตามนั้นก็ดี แต่เรามักจะพบว่า guideline ดี แต่ให้เลือดผิดเพราะไม่ทำตาม guideline
เป็นกิจกรรมที่น่านำไปใช้กับการเรียนรู้ของเด็กครับ