Thailnad on the Move II : Media &Information


ทุกความเคลื่อนไหวมีความสั่นสะเทือน

ในทุกความเคลื่อนไหวที่ไม่มีแบบแผน  การตัดสินใจที่ถูกต้อง และพิจารณาปัจจัยอย่างรอบด้าน ไม่เอนเอียงน่าจะนำมาซึ่งผลที่น่าจะดีที่สุดสำหรับ เหตุการณ์หนึ่งๆ เสมอ

*******************************************************************

ครับในบล็อกชิ้นนี้ผมอยากนำเสนอมุมมองซึ่งคงจะตรงกับใครหลายคนว่า แม้จะมีความวุ่นวายบ้างในการชุมนุนในทุกๆครั้งที่ผ่านมา แต่ที่แน่นอนที่สุด ตอนนี้อำนาจที่แท้จริงในการตัดสินใจกลับมาสู่ประชาชนแล้ว !!!

ผมไม่ได้หมายถึงว่ารัฐบาลจะยุบสภานะครับ แต่หมายถึงว่าปัจจุบันมีการนำเสนอข่าวอย่างหลากหลาย มีหลายกระแส ทั้งฝ่ายที่ประกาศชัดว่าอิงสี และฝ่ายที่พยายามวางตัวเป็นกลาง มีทัศนะจาก แกนนำสีต่างๆ หลากหลายสีปรากฏในหน้าสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นปรากฏการ ที่แทบไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทยครับ สิ่งนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน และผมมั่นใจว่าในระยะยาว ถ้าคนไทยเราปรับรูปแบบการเสพข่าวสาร และพัฒนาการใช้วิจารณญาณของตัวเราให้ดีขึ้น คุณภาพของคนไทยเราจะพัฒนาขึ้นครับ  

แต่เดิมผมอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์วันละหนึ่งถึงสองฉบับ ปัจจุบันจากที่อ่านแค่หนึ่งถึงสองฉบับผมก็กลายมาอ่านวันละสามถึงสี่บางครั้งเป็นห้าฉบับ(ผ่านทางอินเตอร์เน็ต)ครับ เนื่องจากอยู่ต่างแดน หาหนังสือพิมพ์ภาษาไทยไม่ได้  และนี้เองทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างของข่าวชิ้นเดียวกันครับ
ในเรื่องเดียวกันเมื่อมองต่างมุมก็มีมุมมองที่หลากหลายครับ และนำเสนอออกมาในมุมที่หลากหลายตามแต่มุมมองของสื่อที่นำเสนอมาครับ ท้ายสุดคนตัดสินใจ คือผู้เสพข่าวแต่ละคนว่าจะเชื่อข่าวชิ้นไหน และด้วยเหตุผลอะไรครับ บางคนเชื่อเพราะตรงกับจุดยืนและหลักการของตัวเอง บางคนเชื่อ เพราะอิงกับหลักทางศาสนา บางคนเชื่อเพราะอิงกับผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง อีกทั้งอยากให้คนอื่นเชื่ออย่างตนเองด้วย

แต่ทั้งหลายทั้งปวง ในเหตุการณ์ปัจจุบันทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่าตะกอนในสังคมไทยที่นอนก้นขวดมานาน ถูกเขย่า ทำให้สภาพสังคมไทยเหมือนน้ำขุ่น ไม่ใส ต้องรออีกสักพักหนึ่งกว่าตะกอนจะนอนก้นใหม่ แต่การเขย่าขวดในสังคมไทยนี้ทำให้เรามีโอกาสรับรู้ข่าวสารอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนครับ  อยากให้มองเป็นแง่ดีและนำข้อดีมาใช้ประโยชน์ คือการนำข่าวสารที่มีอยู่มาช่วยกันวิพากษ์ วิเคราะห์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และพัฒนาสังคมของพวกเราต่อไป แต่ผมไม่สนับสนุนให้มีการนำมาถกเถียงหาคนแพ้และชนะครับ เพราะมันแพ้ทั้งสองฝ่าย เหมือนอย่างพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

และอนาคต แม้ว่าสังคมไทยอาจจะเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็ยังอยากเห็นวัฒนธรรมการบริโภคข่าวสารของคนไทยพัฒนาไปและเปิดโอกาสให้มีการนำเสนอมุมมองอย่างหลากหลายครับ

 

***************************************************************

อ้อลืมบอกไปครับ ในทฤษฎีทางคณิตศาสตร์

หนึ่ง+ หนึ่ง=สอง   เสมอ 

แต่ในทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะกฎหมาย อย่างที่ Kelsen เคยกล่าวไว้(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ เพราะเรียนมานานแล้ว แถมส่งคืนอาจารย์ไปเยอะเหมือนกัน) Kelsen เขียนไว้ว่าในทางกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะ(Kelsen พยายามสร้างทฤษฎีPure Law Theory มาต่างหาก แยกจากศาสตร์ทางสังคมศาสตร์อื่นๆ ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่  ไว้จะพูดเมื่อค้นข้อมูลเพิ่มและมีโอกาสครับ) 

หนึ่ง +หนึ่ง ไม่ได้เท่ากับสองเสมอไป
แต่ น่าจะเท่ากับสอง

ที่เป็นแบบนี้ผมเข้าใจเอาเองนะครับว่าเพราะ น่าจะเป็นเพราะเคลเซ่นเห็นว่า ถ้ามีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรก ก็อาจจะทำให้ผลที่ได้นั้นต่างออกไปครับ (ถ้าผิด ผู้รู้จริง ช่วยแก้ด้วยนะครับ โดยเฉพาะ ผู้ที่ฉมังด้าน นิติปรัชญา ผมอ่านจากงานของท่านอาจารย์ ชาติปรีดีย์ ฉัตรภูติ ซึ่งเขียนนานมากแล้ว และอ่านขณะที่สติปัญญายังไม่แตกฉาน เลยอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้)  

และโดย เหตุที่กล่าวมานี้เอง ผมจึงคิดว่า ถ้าเราเพิ่มปัจจัยดีๆ ให้สังคมไทยเรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการบริโภคข่าวสารเข้าไป อนาคตสังคมไทยจะเกิดปัจจัยๆดีๆขึ้นครับ

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 349378เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2010 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อาจารย์ครับ ขอเพิ่มเนื้อหาหน่อยนะครับ การชุมนุมที่มีการปะทะกัน แล้วมีคนเสียชีวิตขึ้น ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม มันจะเกิดการสูญเสีย

มันจะเป็นสาเหตุให้การชุมนุมยืดเยื้อรึปล่าวครับ แล้วทำอย่างไรการชุมนุมถึงจะทุเราลงไปครับ

ด้วยความสัจจริงครับ ผมมไม่ทราบจริงๆ ครับว่าจะทำอย่างไรประเทศไทยจะกลับไปสงบเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไรเหมือนกัน ถ้าพูดแบบคอการเมืองคงบอกว่า ช่วงนี้ฝุ่นตลบกำลังแย่งอำนาจ บางคนบอกว่ากลึ่มเสื้อแดงกำลังอ่อนล้า เลยต้องชิงทำให้เกิดสถานการณ์เพื่อเรียกกำลังใจคน และต้องให้มีการตายเกิดขึ้น เพื่อ ดิสเครดิตรรัฐบาล ผมก็ไม่ยืนยันว่าถูกผิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆ แกนนำม๊อบไม่มีใครตายแน่ๆ ครับ คนบาดเจ็บ และตายเป็น คนที่ถูกลูกหลง และเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอาวุธ บางฝ่ายกล่าวหาว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์ ก็อีกแหละครับต่างฝ่ายต่างโทษกัน ในความเห็นผมเกมส์นี้จะถูกยืดไปจนกว่ามีผู้แพ้ชนะเด็ดขาดครับ 

ผมหวังให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นบทเรียนสำหรับคนไทยทุกฝ่ายให้รู้จัก พัฒนาระบบการเมืองของเรา ผมอยากให้ลองอ่านบทความนี้แล้วช่วงเขียนมาเล่าให้ฟังด้วยครับว่าคิดอย่างไร กดเพื่ออ่าน

ขอนุญาตแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียทุกคนนะครับ

 ส่งกำลังใจไปให้ประเทศนะครับ กดฟังเพลง

รัก และ ปรารถนาดี

ก๊อกๆๆเปียกยังอ่ะ..

มีความสุขมากๆน่ะค่ะ..

I am not wet now krub. I miss Songkarn day krub 555

ขอบคุณที่แวะมาครับ

นพพิจิตร ครูเห็นอย่างนี้ครับ

ผมเองส่วนตัว ผมชอบอ่านงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ อ.นิธิเพราะมีข้อมูลที่หนักแน่นและน่าสนใจดี แต่เรื่องการเมือง ถึงแม้ผมจะชอบการวิเคราะห์ของท่าน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะเรื่องข้อเสนอให้ยุบสภา ผมว่ายุบตอนนี้ก็ไม่ใช่ทางออก เพราะถึงเลือกตั้งใหม่ แต่ หากผลไม่เป็นที่ยอมรับของคนบางกลุ่ม ก็จะมีการเคลื่อนไหวอย่างนี้อีก ผมเห็นด้วยกับ อ.นิธิในส่วนที่ว่า การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนต้องเดินต่อไป

แต่การสร้างสำนึกของคนต้องทำไปด้วย คงต้องยอมรับกันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ก็ไม่ได้สันติ และสงบอย่างที่กระยอกเสียงของคนเสื้อแดงอ้าง เพราะ ใครที่เสื้อแดงไม่พอใจก็ถูกทำร้าย เช่นไม่ยอมรับสติกเกอร์ / บีบแตรไล่ ก็จะถูกทำร้าย โดยตำรวจไม่เข้าช่วยเหลือ ถ้าคุณบอกว่าคุณกำลังแสดงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการชุมนุมโดยสงบ คุณก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วย ไม่งั้นเรียกว่า คนเห็นแก่ตัว พูดเอาแต่ได้ พูดเข้าข้างตัวเองอย่างเดียว ผมพูดแบบเป็นกลางนะครับ เพราะขนาดพวกเสื้อเหลือง พอมีคำสั่งศาลให้เปิดถนน เค้าก็ยอมเปิด แล้วพวกเสื้อแดงมีสิทธิดีกว่าคนอื่นยังไง

เหตุนี้ผมถึงบอกว่าทุกอย่างวิจารณ์ได้นะครับ ไม่มีถูกผิด ร้อยเปอร์ เซ็น แม้แต่ผมคุณก็วิจารณ์ได้ครับ เราใช้ภาษาสุภาพ และแสดงเหตุผลพอ ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท