...เปลี่ยนชื่อที่เรียกกันเดิมๆๆๆซะ...เลิกเรียนตามๆกันมา..วิธีที่เรียนกันมาแต่เปล่าประโยชน์....เลิกเก็บเิงินๆๆๆค่าเรียนรู้...เพื่อแลกกระดาษหนึ่งใบ...กับการเติมคำนำ ก่อน ชื่อหน้าและหลังชื่อ...คนรอบรู้คงจะไม่หดหายไปดังเฉกเช่นทุกวันนี้..(คงเป็นเรื่องในความฝันของยาย...แก่ๆคนหนึ่งเท่านั้น..เหอๆ)....
ขออนุญาตแสดงความเห็นตรงๆ
กระผมคิดว่ามหาวิทยาลัยได้สร้างบัณฑิตที่เป็นผู้รอบรู้ในปริมาณที่น้อยกว่าความจำเป็นอย่างมาก
หรือกล่าวให้ชัดอีกนัยคือ ผมเห็นว่ามหาวิทยาลัยซึ่งบุคคลากรสำคัญคือ อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนมากทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดีเพียงพอ
สังคมไทยจึงค่อนข้างสับสน บัณทิตหลายท่านหาความสุขไม่ค่อยเจอ
ขอประทานอภัย อาจารย์มหาวิทยาลัยบางท่านก็ยังงงงวยในวิถีแห่งความสุข
กระผมคิดว่า
จุดอ่อนการศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย ในปัจจุบัน คือ ภาวนามยปัญญา
ส่วนใหญ่ อยู่วนๆอยู่กับ สุตตมยปัญญา และจินตมยปัญญา
ขอแสดงความคิดเห็นว่า ถ้าเป็นผู้เรียนรู้ แต่ไม่รอบรู้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะการเรียนรู้จุดประสงค์เพื่อให้รอบรู้ รู้แต่วิธีการเรียน แต่ไม่เคยจดจำ หรือรู้จริงในสิ่งที่เรียน จะเรียนรู้ไปเพื่ออะไร เพื่อถ่ายทอดความเป็นมหาวิทยาลัย รุ่นต่อรุ่นกระนั้นหรือ รู้อะไรขอให้รู้ให้จริง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมาจากสิ่งที่รอบรู้คงจะสร้างประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ได้มากกว่ากระมังครับ
ขอเติมอีกนิดนะครับ การรอบรู้ หรือมีความรู้ในเนื้อหาสาระ ได้มาจากการเรียนรู้ ถ้ามีความรอบรู้ในเนื้อหาสาระมาก แสดงว่า มีทักษะ ฉันทะ ในการเรียนรู้ที่ดี(เพราะถ้าไม่ดีก็คงไม่รอบรู้) แต่ถ้ามีทักษะ และฉันทะ ในการเรียนรู้ที่ดีมาก ผลที่ตามมาคืออะไรหรือครับ หรือต้องการแค่มีทักษะการเรียนรู้อย่างเดียว ไม่สนผลที่ได้ว่าจะเป็นผู้รอบรู้หรือไม่ ฉะนั้น การวัดผลว่าบัณฑิตเป็นผู้รอบรู้มากขนาดไหน ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าบัณฑิตผู้นั้นมีทักษะการเรียนรู้ที่ดีไปด้วย ดังนั้นในความคิดเห็นของผม ผมเชื่อว่า มหาวิทยาลัยในอนาคด ควรจะผลิตบัณทิตที่เป็นผู้รอบรู้จริงๆ แทนที่จะเป็นแค่ผู้เรียนรู้ครับ