สำนักการศึกษาต่อเนื่องกับการจัดการความรู้ นายทันดร ธนะกูลบริภัณฑ์* เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “การจัดการความรู้” (Knowledge Management) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า KM ถ้าใครไม่รู้หรือไม่ได้ยินคงเป็นเรื่องแปลก หรือตกยุคแน่ ๆ เพราะคำนี้เป็นคำยอดนิยมในทุกส่วนราชการรวมทั้งเอกชนอีกด้วย โดยเฉพาะหน่วยราชการต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการการจัดการความรู้ สำหรับหน่วยงานกันทุกหน่วยเพราะเป็นกิจกรรมบังคับให้ทำหรือที่รู้ ๆ กันว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผล การปฏิบัติราชการ ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กำหนดไว้ในมิติที่ 4 มิติด้านการพัฒนาองค์การ ของการประเมินผลการปฏิบัติราชการซึ่งในปี 2548 ได้กำหนดคะแนนถึง ร้อยละ 40 เพราะตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 “มาตรา 11 ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอโดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมต่อสถานการณ์รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน” ดังนั้นในเรื่องการจัดการความรู้ ก.พ.ร. จึงถือได้ว่าเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการที่มีการจัดการบรรยาย การจัดทำเอกสารเผยแพร่และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวกับการจัดการความรู้ที่เผยแพร่ไว้ทางเว็บไซต์ในเรื่องนี้(KM)มีผู้รู้ผู้เล่นในเรื่องการจัดการความรู้มากมายหลายท่านทั้งนักวิชาการในต่างประเทศ รวมทั้งนักวิชาการไทย มีการผลิตตำราบทความที่หลากหลายที่ว่าด้วยเรื่องการจัดการความรู้ เพราะสังคมโลกทุกวันนี้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง ที่ถ้าใครหยุดตัวเองเท่ากับวิ่งถอยหลัง ทุกคนต้องมีการปรับเปลี่ยนพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง มีปรับกระบวนทัศน์ การจัดเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เป็นไปตามการหมุนไปแห่งโลกแห่งยุคดิจิทัล ดังนั้นหน่วยงานบริการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ผู้ปฏิบัติงานก็ต้องเป็นบุคคลเรียนรู้( Learning Person )เช่นกัน ถ้าจะมองย้อนไปในเรื่องประเด็นที่มาหรือการแพร่หลายของเรื่องการจัดการความรู้น่าจะเริ่มมาประมาณ 6 – 10 ปี ที่ผ่านมา โดยดูจากเอกสารหนังสือที่ GURU (ปรมาจารย์) แต่งขึ้นเผยแพร่แนวคิดออกขายและแปลเป็นหลาย ๆ ภาษา การเติมโตของ Web site ต่าง ๆ เฉพาะค้นคำว่า “การจัดการความรู้” ในSearch Engine คือใน Google(ไทย) ก็จะพบมีถึงประมาณ 90,000 รายการ ที่จะค้นหาได้ทั้งเรื่อง การจัดการความรู้ ซึ่งมีทั้งภาครัฐ เอกชนมากมายที่ได้ลงข้อความที่เกี่ยวกับเรื่อง การจัดการความรู้ หรือต่อไปจะใช้คำว่า KM และจากการค้นข้อมูลดังกล่าว Web site WWW.kmi.or.th หรือ สคส. ที่เรียกชื่อเต็มว่า “ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม” จะเป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลเรื่อง KM ได้…………………………………………………………………………………….. *นายทันดร ธนะกูลบริภัณฑ์ ศศ.ม. (รัฐศาสตร์ )เลขานุการสำนักการศึกษาต่อเนื่องอย่างชัดเจนและมากที่สุด ที่สามารถค้นได้ นั่นย่อมหมายถึงการเป็นต้นแบบก็ว่าได้ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นผู้เขียนและลงข้อมูลไว้มากที่สุด ท่าน ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด และคณะนักคิด นักเขียนต่าง ๆ ก็มีบทความที่เกี่ยวกับ KM ที่ใช้เผยแพร่ไปยังหน่วยราชการอื่น ๆ อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่ม โรงพยาบาล เช่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบ้านตาก และกรมอนามัยที่มีการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวกับKM แล้วลงเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ เพราะในการดำเนินการในระยะต้นๆ นั้น กลุ่มที่ได้รับทุนเป็นกลุ่มด้านการแพทย์ ส่วนที่เป็นหน่วยงานที่จัดให้ข้อมูลทางด้านการบริหารราชการสมัยใหม่ก็คงต้องไม่พ้นต้องเป็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ( ก.พ.ร.) เพราะเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการพัฒนาระบบให้ราชการไทยให้ปฏิบัติงานที่รวดเร็วทันสมัยและมีการบริหารงานเป็นสมัยใหม่ เป็นราชการไทยใสสะอาด และที่ลืมไม่ได้ก็ต้อง “ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ” ที่มีวิทยากรหลาย ๆ ท่านที่ให้ความรู้ด้าน KM แก่ส่วนราชการต่างๆ ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงาน คือทั้ง สคส. และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติต่างก็ให้ความร่วมมือกับ ก.พ.ร. ดำเนินการในเรื่องการจัด KM มาอย่างต่อเนื่อง โดย สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติมี ดร.บุญดี บุญญากิจ เป็น GURUในเรื่อง KM มีข้อมูลหลากหลายที่ลงไว้ใน Website ให้ผู้สนใจได้ค้นคว้าหาไปอ่าน เพื่อทำให้เกิดกระบวนการพัฒนาไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ให้ทันยุคสมัยของการเป็นข้าราชการที่เป็น I AM READY ทำไมต้องมีการจัดการความรู้ คนเรานั้นไม่จัดมันได้หรือไม่ มีอีกหลายคนที่ยังต้องทำความเข้าใจในเรื่อง การจัดการความรู้ (Knowledge Management) ในโลกยุคปัจจุบันที่กล่าวว่าเป็นโลกแห่งข่าวสาร (Information) ล้นโลก โลกยุค G 3 ยุคดิจิทัล โลกยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา จะว่ากันว่าทุกวินาทีก็ว่าได้ หลากหลายวิทยาการที่เกิดจากการใช้ความรู้ ยุคนาโนเทคโนโลยี เล็กแต่มีคุณภาพ หน่วยงานต้องเล็กลงแต่มี คุณภาพงานมากขึ้น บริการประชาชนได้ดีขึ้นมากขึ้นด้วย และที่สำคัญต้องเร็วและถูกต้อง ดังนั้นผู้เป็นมนุษย์เงินเดือนหากไม่พัฒนาตนเอง หรือทำตัวไม่ทันสมัย แน่นอนตกงานแน่ ๆ โลกนี้เต็มไปด้วย นวัตกรรม (Innovation) การแข่งขันที่มีทุกอย่าง การจะไปแข่งขันได้ก็ต้องมี ความรู้ (Knowledge) มีการใช้ความรู้ เป็นตัวทำให้คิด ซึ่งมีผู้กล่าวว่า คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของคนหรือมนุษย์คือ ความพร้อมต่อการปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด คนมีพัฒนาการของการเรียนรู้ ดังนั้น ความรู้นี่เองก่อให้เกิดการแข่งขันมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันทางสังคม การชิงกันเป็นผู้ครองความรู้ ทำให้สังคมปัจจุบัน เป็นโลกยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Society and Economy) ถ้ามองถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ การปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ต้องใช้กระบวนการที่เรียกว่า การจัดการความรู้(Knowledge Management) ที่นำไปสร้างและประยุกต์ใช้นั่นเอง ถ้ากล่าวถึงองค์กรก็ต้องถือว่าการบริหารจัดการเป็นสิ่งที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดหรือเติบโต เป็นองค์กรที่มีชีวิต (Live Organization) เมื่อเป็นดังนั้น คน ในองค์กรนั้น ๆ จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่พร้อมต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลง แต่จะปรับเปลี่ยนอย่างไรนั่นคือต้องเป็นคนที่รู้จักกับการจัดการความรู้ เพราะ คนนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในองค์กร หรือในการบริหารงาน ความรู้มีการเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ทำให้หน่วยงานต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนา และคนในหน่วยงานต้องเป็นคนที่เป็นบุคคลเรียนรู้ (Learning Person) หนทางจะได้มาซึ่งความรู้นั้นมีหลากหลายวิธีการ มีเส้นทางหรือการค้นหาเข้าถึง (Access) ได้มากมาย เช่น การอ่านตำรา หนังสือ วารสาร ฟังข่าว ดูโทรทัศน์ และที่ยิ่งใหญ่สามารถค้นได้เป็นอนันต์ (Infinity) ไม่มีที่สิ้นสุด ก็ต้องเป็นการค้นผ่านทางคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกันไว้ทั่วโลกไว้ด้วยปลายนิ้ว นั่นคือทาง Internet นั่นเอง เพราะมีความมากมายเหลือคณานับของ Website ทุกภาษาในโลก ถ้ารู้ภาษากลางของโลก เช่น อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ก็จะได้เปรียบคนอื่น ๆ ซึ่งในการค้นหา (Search) นั่น เครื่องมือที่ผู้มีความรู้ได้คิดไว้ให้ก็มีหลายชนิดที่จะหาได้ ผู้รู้ต่าง ๆ ได้จัดทำไว้ ผู้ใช้ก็เลือกให้เหมาะสมกับงานก็จะเป็นการพัฒนาความรู้ของตนได้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ในฐานะของสำนักการศึกษาต่อเนื่อง ที่ทำหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ การบริการทางวิชาการแก่สังคมและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการความรู้ในสำนักงานเพราะถ้ามองในภาพของการเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในรูปแบบการจัดฝึกอบรม ที่ในแต่ละปีมีหลักสูตรที่เพิ่มพูนความรู้เดิมเสริมเติมความรู้ใหม่ ประสบการณ์จากผู้รู้ผู้เล่นมากมายกว่า 60 หลักสูตรที่ดำเนินการ จึงจัดได้ว่ามีความหลากหลายในความรู้ที่ถ่ายทอดไปให้คนทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้าไปรับบริการได้นำไปใช้ ดังนั้นความจำเป็นที่จะต้องเป็นหน่วยงานที่ให้บริการต้องได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในการแข่งขันกันได้ในเชิงธุรกิจ ทำให้การจัดการความรู้ยิ่งเข้าไปมีบทบาทที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามแนวคิดของการจัดตั้งและการให้บริการ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานในสำนักการศึกษาต่อเนื่องต้องมีความเข้าใจในเรื่อง KM ที่ชัดแจ้งปฏิบัติได้ รวมถึงการเป็นแบบอย่างหรือต้นแบบได้ด้วย การจัดการความรู้ ในเรื่องการจัดการความรู้ ต้องขอยกคำกล่าวของ GURU คือ Peter Drucker ในหนังสือ Post-Capitalist (1993) แม้จะนานกว่า 10 ปีแล้วก็น่าจะใช้ได้ดังนี้ “Knowledge is the new basic of competition in a post-capitalist society” แปลว่า ในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและการแข่งขันที่รุนแรง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอด หรือเพื่อการรักษาความเป็นเลิศให้ยั่งยืน คำถามที่เราทุกคนเป็นผู้ริเริ่มหรือเป็นผู้กำหนดให้มีการทำ KM จะได้ยินเสมอ ๆ เช่น ทำ KM ทำไม / ทำ KM แล้วได้อะไร / ทำ KM ทำไมทุกวันงานที่มีก็แย่แล้ว / งานก็มากยังจะให้มาทำ KM อีก คำพวกนี้เป็นความคิดเชิงลบ บ้างพูด ว่า KM เขาทำอย่างไร / KM ทำแล้วดีไหม / KM เป็นประโยชน์ต่องานมากไหม ก็เป็นความคิดเชิงบวก ดังนั้นเพื่อเป็นการไขข้อข้องใจในเรื่อง KM หรือจะใช้คำเต็ม ๆ ก็บอกว่า “ การจัดการความรู้” (Knowledge Management) ว่าเราจัดกิจกรรมนี้ทำเพื่ออะไร สำคัญไฉน ใครต้องทำบ้างจึงจะสำเร็จ
ก่อนอื่นก็ต้องตั้งข้อสมมติฐานก่อนว่าทุกคนรู้ว่าในการบริหารราชการสมัยนี้ หรือจะเรียกว่าสมัยใหม่ก็ว่าได้ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและวิธีปฏิบัติที่การให้บริการต้องถูกใจประชาชน เร็วและต้องแข่งขันกันในด้านบริการเมื่อเข้าใจดังนั้น ก็ย่อมรู้ว่ามีความพยายามปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นเลิศ ทั้งในระบบเอกชนก็ต้องมีการรับรองมาตรฐานการทำงานที่เรียกกันคุ้นหูว่าระบบ ISO ซึ่งมีมากหลายประเภท ในระบบราชการก็นำวิธีการต่าง ๆ มาใช้มีการรีเอ็นจิเนียริ่ง TQM 5 ส และอีกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการพัฒนาระบบการทำงานทั้งสิ้น ปี 2541 มีการนำระบบมาตรฐานการจัดการภาครัฐ(PSO) ถึง 12 ระบบมาใช้ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร มาถึงยุครัฐบาลคิดใหม่ทำใหม่ก่อให้เกิดการปฏิรูประบบราชการใหม่ มีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) (WWW.opdc.go.th) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดการและพัฒนาส่วนราชการ
การจัดการความรู้ในองค์กร ก็ต้องยกบทความของ ศ.นพ..วิจารณ์ พาณิช ผู้ที่เป็นปรมาจารย์(GURU) ด้าน KM เพราะทุกหน่วยงานส่วนใหญ่ใช้วิชาที่ได้รับการถ่ายทอดจาก ศ.นพ.วิจารณ์ เป็นต้นแบบ ถือว่าท่านเป็น GURU ของ KM ก็ว่าได้ แล้ว KM คืออะไร การจะให้คำนิยาม การจัดการความรู้ นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละคนก็ต่างก็คิดต่าง ๆ กัน แต่นั่นก็ลงสู่จุดหมายเดียวกัน สรุปว่า เป็นการยกระดับความรู้ขององค์กรเพื่อสร้างผลประโยชน์ทางต้นทุนทางปัญญาโดยเป็นกิจกรรมที่ซับซ้อนและกว้างขวางมากเป็นการสร้างระบบและสภาพแวดล้อมที่เอื้อก่อให้เกิดการเรียนรู้ สร้างและแบ่งปันความรู้ที่เกิดขึ้นในองค์กร ที่จะให้เห็นชัดเจนก็ต้องเขียนเป็นรูปขององค์ความรู้ 2 ประเภท Tacit Knowledge ฝังอยู่ในคน หรือกระบวนการขั้นตอนของงาน Explicit Knowledge อยู่ในรูปกระดาษหรืออื่น ๆ การจัดการความรู้ นั้นเป็นกระบวนการ เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการที่จะเพิ่มคุณค่าของงานขององค์กร กลุ่มงานมีกิจกรรมมากมายที่ต้องดำเนินการในการทำ KM ส่วนสำคัญ คือ ต้องลงมือทำ จึงจะเข้าใจ หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านเราๆคุ้น ๆ เช่นไม่ลองไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็นทำนองนั้น การเริ่มดำเนินการการจัดการความรู้ ถ้าเริ่มต้นถูกทาง ถูกวิธี ก็จะทำให้สำเร็จผล ถ้าเริ่มไม่ดีหรือผิดทางไปก็ต้องมาตั้งต้นเดินกันใหม่ เป้าหมายของการจัดการความรู้นั้นก็ต้องเป็น งานเป็นที่ตั้ง ต่อมาคงต้องเป็นคน และองค์กรที่จะต้อง พัฒนาดำเนินการ แต่ที่เห็น ๆ อยู่คือ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 กำหนดให้หน่วยงานต้องพัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดย ก.พ.ร. ได้ออกเป็นเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติราชการในมิติที่ 4 ที่ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการ เมื่อเป็นเช่นนี้ การจัดการความรู้จึงมีความจำเป็นที่ทุกคนในองค์กรต้องรู้และลงมือปฏิบัติ ต้องมีแผนงานการจัดการความรู้ ไม่ทำไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งแรกก็ต้องทำให้ทุกคนในหน่วยงานพร้อมใจยอมรับการทำ KM แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อทุกคนต่างมีงานล้นมือกัน เริ่มต้นที่ถือว่าสำคัญที่สุดนั้นต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรที่ต้องรู้และให้การสนับสนุนทุกวิถีทางเห็นความจำเป็นของการดำเนินงานต่อไปก็มาสร้างกลุ่มหรือทีมงานที่ตั้งใจพร้อมอุทิศกำลังทั้งภายนอกและภายในในการดำเนินการเช่นก็เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจว่า KM ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นเรื่องที่ทุกคนนั้นทำแล้วแต่ยังขาดการจัดระบบ ระเบียบและการค้นคืน การบันทึกงานเพื่อเป็นความรู้ขององค์กร หากคิดว่าง่ายก็จะง่าย อย่างนี้ก็พอเห็นทางหรือแสงแห่งความสำเร็จมาแล้ว การจัดการความรู้เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ทำงานแล้วนำผลของงานมาบันทึก ประสบการณ์ เราต้องดึงเอาความรู้จากบุคลากรออกมาเข้าไปในแหล่งเก็บขององค์กรไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลหรือการบันทึกความสำเร็จของการทำงาน เรื่องนี้ก็มี Model หรือรูปแบบที่นิยมกล่าวถึงกันคือ ภูเขาน้ำแข็ง ตามแนวคิดของTomohiro Takanachi ที่ความรู้มี 2 แบบที่เห็นได้เรียกว่าความรู้ที่ชัดแจ้ง Explicit Knowledge มันมีอยู่ในเอกสารฐานข้อมูลเป็นความรู้ที่ลอกเรียนกันได้ สอนได้ เปรียบเหมือนที่ลอยอยู่เหนือน้ำแต่ประเภทความรู้ที่อยู่ในคน (Tacit Knowledge) นี้ สอนไม่ได้ เป็นพรสวรรค์เฉพาะคน ยังไม่ได้เขียนหรือถ่ายทอดออก แต่ทำงานให้เกิดประโยชน์กับองค์กรได้ ดังนั้นถ้าดูในรูป จะเข้าใจขึ้นว่าแม้จะเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งซึ่งภูเขาน้ำแข็งนั้นส่วนที่พ้นน้ำจะมีเพียง หนึ่งส่วนเท่านั้นจมอยู่ใต้น้ำอีกเก้าส่วนส่วนที่อยู่ใต้นั้นยังมีอีกมากที่มีทั้งอธิบายได้ยังไม่มีการบันทึก อธิบายได้ไม่อยากบันทึก รวมทั้งอธิบายไม่ได้แต่จริงๆแล้วทำได้เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัว
อธิบายได้แต่ยังไม่ถูกนำไปบันทึก
|
อธิบายได้แต่ไม่อยากอธิบาย
|
ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน(Tacit Knowledge)
|
ความรู้ที่ชัดแจ้ง(Explicit Knowledge)
|
และเมื่อเข้าใจเบื้องต้นแล้ว คงจะสรุปเพิ่มได้ว่า การจัดการความรู้ หรือการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Transition) ของ Tacit และ Explicit ให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้เกิดความรู้องค์กร หรือจะตีความให้ตรงกับงานก็ต้องบอกว่า เป็นการรวบรวมความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรที่กระจัดกระจายนำมาเข้าระบบ เพื่อพัฒนาตนเองและงาน เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการปฏิบัติงานต่อไป และวิธีการที่จัดว่าได้ผลนั่นน่าจะเป็นการคว้ามากกว่าการค้น นั่นหมายความว่าถ้าเป็นเรื่องเดียวกันประเภทใกล้เคียง เขามีการทำไว้ดีแล้ว ก็นำมาปรับใช้ไม่ต้องไปคิดใหม่ หรือที่เรารู้กันในเรื่องการแบ่งปันและการปฏิบัติที่ดีเป็นเลิศ (Best practices)นั่นเองการนำประสบการณ์ในอดีตมาใช้ประโยชน์บนสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนเป็นที่ตั้ง (Chaos) แต่ก็ย่อมดีกว่าเริ่มต้นเองทั้งหมด เมื่อได้รู้พื้นฐานและความสำคัญหรือความจำเป็นของการจัดการความรู้ แล้วมาหาทางประยุกต์เข้ากับงานที่เราปฏิบัติกันว่าเราจะทำอย่างไรในการจัดการความรู้ในองค์กรของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือว่าภารกิจของสำนักการศึกษาต่อเนื่อง ทำหน้าที่จัดการการฝึกอบรม การหารายได้ให้กับมหาวิทยาลัย รวมทั้งการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมก็ตาม สิ่งที่ควรทำในการจัดการความรู้ ได้แก่1. พัฒนาฐานข้อมูลวิทยากร2. พัฒนากำหนดหลักสูตรที่เป็นชุดฝึกอบรม3. กำหนดหน้าที่ของบุคลากรที่จัดทำเป็นคู่มือปฏิบัติงาน4. จัดทำฐานข้อมูลผู้ผ่านการอบรมและต้นสังกัด5. พัฒนาคนของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ โดยการอบรมเสริมแนวทางการทำงาน ประเมินผลงาน6. ส่งเสริมให้รางวัล ยกย่อง7. หาแนวโน้มของความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้ว่าต้องการรับบริการอย่างไรที่กล่าวมาเป็นเพียงแนวให้คิดเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีอีกมากที่จะได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามกระบานการจัดการความรู้ เพราะทุกคนมีทุน หรือต้นทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) กันทุกคน นั่นคือ ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ ที่จะนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับหน่วยงานได้ เราต้องแยกว่าอะไรคือ ข้อมูล (DATA) สารสนเทศ (Information) และความรู้ (Knowledge) ที่จะรวมวิเคราะห์ สังเคราะห์ผ่านกระบวนการเพื่อเปิดเป็นปัญญา (Wisdom) ถ้าเข้าใจในกระบวนการนี้แล้ว เรามาเริ่มลงมือจัดการความรู้หรือการทำ KM กันดีกว่า และที่ต้องบอกก่อนก็คือควรนำเอาความรู้ที่มีการทดลองลงมือมาแล้วมาเป็นต้นแบบ ก็ต้องยกให้ โดยใช้ข้อมูลของ ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช มาเป็นแนวทางการดำเนินการ เช่น1. ต้องมีการตรวจเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ว่าพร้อมแล้วหรือยัง2. นำกลยุทธ์ด้านการจัดการความรู้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจมาเชื่อมโยงกัน3. ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของการจัดการความรู้4. ตรวจสอบองค์ความรู้และระบบที่มีอยู่5. ออกแบบทีมจัดการความรู้6. ทำร่าง ระบบความรู้ที่จะให้มีในหน่วยงาน7. พัฒนาระบบการจัดการความรู้8. ทำต้นแบบและทดลองใช้9. บริหารจัดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงาน10.