อำนาจ คือ ความเป็นใหญ่ นั่นคือ การที่สิ่งหนึ่งอาจครอบงำอีกสิ่งหนึ่งได้... แนวคิดเรื่องอำนาจมีมานานแล้ว ดังเช่นโซฟิสต์กรีกโบราณคนหนึ่งเคยอ้างว่า "อำนาจคือความถูกต้อง" หรือสำนวนว่า "แพ้เป็นทาษ ชนะเป็นจ้าว" ในหนังจีน...
บังเอิญไปเจอการจำแนกอำนาจในคัมภีร์อภิธาน รู้สึกว่ายังคงทันสมัยอยู่ จึงนำมาบอกเล่าที่นี้ โดยพระบาลีว่า...
ปภาวะ ท่านขยายความว่า เรือนคลัง สมัยปัจจุบันน่าจะหมายถึงทรัพย์สมบัติ หรืออาจพูดสั้นๆ ว่าเงิน นั่นคือเงินจัดเป็นอำนาจ ใครมีเงินก็มีอำนาจ ใครมีเงินก็จัดว่ามีกำลังเข้มแข็ง...
อุสสาหะ ท่านขยายความว่า กำลังคน นั่นก็คือ ถ้ามีคนมากพวกมากก็จัดว่ามีอำนาจ มีคนมากพวกมากก็ย่อมมีกำลังเข้มแข็งยากที่ใครจะรุกรานทำลายได้...
มันตะ ท่ายขยายความว่า ผู้นำที่มีปัญญา ข้อนี้อาจแย้งจากสองข้อข้างต้น กล่าวคือ แม้จะไม่มีเงิน พวกก็น้อย แต่อาศัยผู้นำที่มีปัญญาก็อาจทำให้กลุ่มชนนั้นมีอำนาจหรือมีกำลังดำรงความเป็นกลุ่มก้อนของตนไว้ได้...
สรุปได้ว่า เงิน คน และปัญญา เป็นที่มาของอำนาจ ซึ่งประเด็นนี้ยังคงทันสมัยอยู่ดังเช่นปัจจุบัน....
พิจารณา ๓ ประการนี้อีกครั้ง เงินมาข้อแรก น่าจะบ่งชี้ว่า เงินเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการสร้างอำนาจ ดังเช่นสำนวนว่า "มีเงินใช้ผีโม้แป้งได้" มีเงินแล้วก็อาจสร้างกลุ่มชนหรือปลุกม็อบให้ดำเนินการตามความประสงค์ได้...
แต่ก็ยังเชื่อกันว่า เงินมิใช่ซื้อได้ทุกอย่าง ซึ่งคนมีเงินบางคนก็มิอาจครองใจคนหมู่มากได้ นั่นคือ คนที่มีเงินกับคนที่มีพวกมาก บางครั้งเมื่อขัดแย้งกัน คนที่มีพวกมากอาจชนะคนที่มีเงินได้...
บางคนว่าผู้นำสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำที่มีปัญญาอาจสร้างเงินและสร้างคนขึ้นมาได้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ถ้าหากว่าเค้ายังไม่ตาย...
นมัสการพระคุณเจ้า
ในความเห็นคิดว่าการนำหรือสร้างอำนาจที่ยิ่งใหญ่ด้วยปัญญานั้นจะก่อผลหรือกำเนิดแนวร่วม(พลัง/อำนาจ)ได้นานกว่าการใช้เงิน หรือ พวกมากลากไป แต่กระนั้นก็ดีผู้สร้างอำนาจด้วยปัญญาที่ประกอบด้วยมิจฉาทิษฐิก็ไม่น่าจะอยู่ได้นานเท่ากับผู้สร้างอำนาจด้วยสัมมาทิษฐิค่ะ
อนึ่ง อำนาจตามที่ว่ามานั้น เป็นเพียงอำนาจทางโลกๆ หรือระดับโลกิยะ เท่านั้น
เจริญพร
พระคุณเจ้าผมไม่ได้เข้ามานานยังคิดถึงครับ