จากดอนลำดวนถึงสวนอัมพร เรื่องสั้น / ทัศนาวดี


ทัศนาวดี เป็นนามปากกา ผศ.สุทัศน์ วงศ์กระบากถาวร เจ้าของรางวัลนายอินทร์อวอร์ด ปัจจุบันสอนที่ ม.ราชภัฏมหาสารคาม

(เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สาขาภาษาไทย

 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร : 26 มิถุนายน  2552 )

 

จากดอนลำดวนถึงสวนอัมพร

                                                                   เรื่องสั้น / ทัศนาวดี

               

                นางนั่งลงกอดเข่าอยู่ริมนอกชาน เหม่อสายตาไปยังดวงดาวไปยังดวงดาวไกลลิบ ลมหนาวโชยมาเป็นระลอก นางห่อไหล่ ขยับเสื้อกันหนาวเก่าคร่ำให้แนบลำตัว น้ำใส ๆค่อย ๆรินหยดลงรดแก้มเหี่ยวย่น สามีของนางยังนอนเมาไม่ได้สติอยู่ข้างแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะม่วง บนแคร่มีถ้วยชาม หม้อต้มไก่ และเหล้าขาวสี่ห้าขวด วางระเกะระกะไร้คนเหลียวแล นางเองมองดูมันอย่างเฉยเมย ข่มกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในอก ป่านนี้ลูกสาวของนางคงมีความสุข

                เมื่อครู่ใหญ่นางเดินผ่านร้านค้า หยุดดูข่าวภาคค่ำในจอทีวีที่นำเสนอภาพพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งนาทีนั้นนางจ้องตาไม่กะพริบ หวังจะเห็นลูกสาวในชุดครุยเด่นในจอ แต่ก็เปล่า อย่างไรก็ตามนางภูมิใจและดีใจที่ลูกของนางเป็นหนึ่งในบรรดาบัณฑิตเหล่านั้น ใครจะไปเชื่อเล่าว่าชาวนาจน ๆจะสามารถส่งลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง นางและสามีทำนาขายข้าว อาบเหงื่อต่างน้ำ ว่างจากหน้านาก็ปลูกผักขาย เก็บออมเงินเพื่ออนาคตลูกสาวคนเดียว แม้บางครั้งต้องบากหน้าเที่ยวหยิบยืมเพื่อนบ้านก็ยอม ลูกชายคนโตซึ่งมีครอบครัวในหมู่บ้านเดียวกันก็อุตส่าห์หาเงินมาสมทบจุนเจือเพื่อความสำเร็จของน้องสาว

                แต่ .. ขณะเดียวกัน เมื่อเดินออกจากร้านขายของชำ ความน้อยเนื้อต่ำใจก็ไหลเข้ามาประเดประดัง กิริยาอาการและคำพูดของลูกสาว มันสร้างความผิดหวังให้กับนางเป็นอย่างยิ่ง สามีของนางซึ่งปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แกรีบเดินหนีไปซดเหล้ากับเพื่อน ปล่อยให้นางยืนดูลูกสาวเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า หุนหันลงจากบ้านไปขึ้นรถตู้ซึ่งออกเงินเหมากับเพื่อนร่วมรุ่นในตัวอำเภอ

                น้ำตานางไหลนองอาบหน้า.. เปล่าหรอก นางไม่เสียดายเงินขายควายตัวสุดท้ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกสาวในวันอันสำคัญนี้ แต่..นางเสียดายความเป็นลูกที่เฝ้าฟูมฟักมากยี่สิบกว่าปีนั่นต่างหาก

 

                หนูไปคนเดียวได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องไปหรอก มันอายเค้า ดูสิสารรูปอย่างนี้ ใครจะไปรับได้” สายตาคู่งามที่ถอดแบบมาจากตอนที่นางยังสาวมองมาด้วยความรู้สึกขยะแขยง

                นางได้แต่ยื่นเหม่อ ถุงผ้าไหมชุดไทยค่อย ๆร่วงลงพื้นนอกชาน นางอุตส่าห์ไปเช่ามาจากร้านในอำเภอหวังจะใส่ไปในงานไม่ให้ลูกสาวอายใคร ในนั้นยังมีถุงน่องอีกคู่ สามวันที่แล้วนางเพียรใช้ฟางข้าวชุบน้ำถูส้นเท้าเพื่อลบเลือนรอยแตกไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการใส่ถุงน่อง แม้จะปวดแสบปวดร้อนแต่นางก็กัดฟันทน ถูแล้วลูบลูบแล้วถูเพื่อให้แน่ใจ สามีของนางก็เช่นเดียวกัน แม้แกจะเป็นคนที่ค่อนข้างปากหนัก เก็บอาการเก่ง แต่ก็ดูตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านาง ก่อนวันที่ลูกสาวเดินทางกลับบ้าน นางและสามีเข้าไปอำเภอ เข้าร้านเสริมสวยทำผมย้อมผม และเช่าชุดคนละชุด หลับตานึกถึงภาพถ่ายคู่กับบัณฑิตสาวอันเป็นสายเลือดของตัวเอง ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความสุขชื่นมื่น ดอกไม้หลายช่อบานสะพรั่งอยู่ในอ้อมแขนลูกสาว แขนของนางและสามีโอบกอดลูกไว้คนละข้าง ช่างภาพที่ว่าจ้างไปทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางจะสั่งให้เก็บภาพเหล่านั้นไว้ให้มากที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมา นางเพิ่งจะได้เข้าเมืองหลวงก็ครั้งนี้แหละ

                “ตายก็ตาหลับแล้วล่ะแกเอ๋ย” นางบอกกับสามีพลางคิดวาดฝันต่อไปว่า เอ .. ถ้าจะให้ดี ลูกสาวของนางต้องได้งานทำที่มั่นคงเสียก่อน มีเงินเดือนสูง ๆหรือเป็นข้าราชการได้ยิ่งดีใหญ่ ไม่ใช่แค่พนักนักงานห้างที่เงินเดือนเลี้ยงตัวเองก็แทบไม่รอดอย่างทุกวันนี้

                เถอะน่า .. นางเผลอกัดฟัน .. หากโชคดีมีเงินกับเขา หรือเผอิญขายสวนข้างบ้านได้ในราคาดีหน่อย นางก็จะขาย เพื่อนำเงินเป็นค่าจ้างให้ลูกสาวได้ทำงานดี ๆ อยู่ อบต.ใกล้บ้านได้ยิ่งดี ปะเหมาะเคราะห์ดีมีหนุ่มปลัดหมายปองจองตัว  นางจะได้หมดห่วง แถมมีหน้ามีตาอีกต่างหาก

                ขณะนั่งรถโดยสารกลับเข้าหมู่บ้าน นางนั่งหลับตาพริ้ม วาดฝันไปต่างๆนานา ลูกสาวนางมันสวย เรียนเก่ง หมอดูบอกว่าวาสนามันดี แถมได้ไปเรียนถึงกรุงเทพเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ แม้จะใช้เงินเปลืองจนนางแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ถึงวันนี้คิดแล้วก็คุ้มค่า เพื่อนบ้านต่างเอ่ยปากชมเชยไม่ขาด นางอิ่มอกอิ่มใจราวกับว่าลูกสาวสุดที่รักกลายเป็นนางฟ้าในเมืองสวรรค์ไปแล้วจริงๆ

                นางยิ้มอย่างมีความสุข ไม่นึกเสียดายควายคู่ทุกข์คู่ยากเลยแม้แต่น้อย รถโดยสารที่โขยกเขยกไปบนทางลูกรัง นางกลับรู้สึกว่ามันนั่งแสนสบายเหมือนกำลังล่องลอยไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า ..ล่องลอยไปกับบุษบกพร้อมหน้าพร้อมตา..พ่อ-แม่-ลูก

 

                รถหกล้อกลางเก่ากลางใหม่เงียบเสียงลง ฝุ่นผงยังฟุ้งกระจายลอยขึ้นปะปนกับใบมะขามที่โดนคอกรถเกี่ยวร่วงพรูลงมา ควายชราคู่ทุกข์คู่ยากถอยกรูดเหมือนรู้ถึงการมาเยือนของคนแปลกหน้า

นางและสามีลุกขึ้นจากแคร่เกือบพร้อมกัน กล่าวทักทายพร้อมเชิญเชิญให้นายฮ้อยนั่งพักเหนื่อย สามีของนางปรายตาไปทางคอกควายแล้วลอบถอนใจ นางยิ้มกว้างแล้วรีบขึ้นเรือนไปหาน้ำท่ามารับแขก

                “ไม่ต้องลำบากหรอกยาย ผมต้องรีบไปอีกหลายบ้าน"

“กินน้ำก่อน แหมจะรีบไปไหน” นางตอบมา ขณะมือคว้าขันจ้วงน้ำในเย็นในตุ่ม บ้านนาง

ไม่มีตู้เย็น ไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงหม้อหุงข้าวใบเล็ก ๆ  และพัดลมเก่า ๆตัวหนึ่งไว้เป่าลมยามร้อน

ฐานะครอบครัวของนางถ้าจะว่าไปแล้วก็อัตคัดขัดสนเสียทุกอย่าง เงินที่หามาได้ก็ทุ่มเทส่งให้ลูกสาวเรียนเสียหมด แต่วันนี้ความฝันของนางเป็นจริงแล้ว ลูกของนางกำลังจะได้รับปริญญา

                “มานับเงินไปเลยยาย เสียเวลา” นายฮ้อยลุกขึ้น เปิดซิปกระเป๋าถือ แล้วหันไปสั่งลูกน้องสองคนที่มาด้วยให้เปิดท้ายรถ

                นางมองไปยังสามีที่ยืนหันรีหันขวางอยู่กลางลานบ้าน รู้สึกขัดใจตะหงิด ๆที่เขาดูเซ่อซ่าเชื่องช้าไม่ทันการ นางนึกย้อนไปเมื่อครั้งเป็นสาวรุ่น พ่อแม่เป็นฝ่ายคลุมถุงชนเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนขยันขันแข็งเอาการเอางาน นิสัยเรียบร้อย เงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา แรกทีเดียวนางไม่ค่อยพอใจนัก พออยู่กันไประยะหนึ่ง นางก็เริ่มมองเห็นความดีและความรักของเขา วัน ๆทำงานหามรุ่งหามค่ำ ถามคำตอบคำ นางสั่งให้ทำอะไรไม่เคยโต้แย้ง ไม่แสดงความคิดเห็น บางทีทำให้นางอึดอัดที่ตัวเองวิ่งบ้าอยู่คนเดียว โดยเฉพาะงานรับปริญญาของลูกสาว ทุกสิ่งทุกอย่างนางเหนื่อยเพราะวิ่งวุ่นจนหัวปั่น เตรียมโน่นนี่สารพัด ขณะที่สามีเอาแต่เงียบงันเหมือนคนใบ้ จะทำอะไรก็ต้องรอให้นางบอก เพื่อนบ้านพากันกระแนะกระแหนว่านางน่าจะเป็นสามีมากกว่า ยิ่งได้ยินบ่อยนางยิ่งเบื่อหน่าย แต่พอตั้งสติคิดอีกทีก็เห็นใจสามี เขารักและตามใจนางมาตั้งแต่ต้นต่างหาก ไม่เคยมีปากเสียงตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

                “งั้นแกไปจูงควายออกมา นายฮ้อยรีบ” นางบอกสามีก่อนวางขันน้ำบนแคร่ เมื่อสบตากัน นางเห็นแววอาลัยซ่อนอยู่ในดวงตาสีหม่นคู่นั้น นางรู้ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใต้ถุนบ้านจะโล่งเปล่า เสียงควายถูเสาเรือนจะไม่มีให้ได้ยินอีกต่อไป ถึงหน้านา สามีของนางจะไม่ได้จับหางไถ ควายเหล็กของเพื่อนบ้านจะถูกว่าจ้างให้เข้ามาทำหน้าที่แทน

                ควายดิ้นสะบัด ไม่ยอมให้ลากออกมาง่าย ๆ นายฮ้อยหนุ่มส่งเงินให้นางนับแล้วร้องบอกลูกน้องให้ไปช่วยจับเชือก เขาพลิกดูนาฬิกาบนข้อมือพลางบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิด สามีของนางคว้าไม้คานเดินเข้าไปในคอก นายฮ้อยตะโกนเร่งเร้า เสียงไม้คานหวดลงบั้นท้ายควายทีไร มันเจ็บแปลบเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของนางและสามียิ่งนัก ควายผู้ตัวนี้อยู่กับครอบครัวของนางมาตั้งแต่ลูกสาวยังเรียนมอต้น ทำงานรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เคยดื้องอแงและไม่ค่อยได้ลงแส้ แต่..บัดนี้มันกำลังจะถูกส่งไปโรงฆ่าสัตว์ ไปด้วยความจำเป็นของเจ้าของ

                ทุลักทุเลอยู่เกือบยี่สิบนาที .. สามีของนางหอบฮัก ๆ เลี่ยงไปยืนเหม่อข้างสวนครัว พ่นควันบุหรี่ฟุ้งกระจายลอยหายไปกับขบวนฝุ่น

                นางยืนกำเงินของลูกสาว ..มองตามมันไป

                ในม่านฝุ่นนั้น ..นางเห็นน้ำตา.

โทรศัพท์จากคนที่รอคอยดังขึ้น หญิงสาวยิ้มระรื่น หยิบโทรศัพท์มาจุ๊บซะทีหนึ่งก่อนกดปุ่มรับสาย

                “ทำอะไรอยู่ที่รัก” เสียงหวานลอยมาทักทาย

                “นอนคิดถึงคนอยู่ไกล” หล่อนบรรจงตอบเสียงนุ่มนวล ใบหน้าคมเข้มของเขาปรากฏขึ้นใกล้ ๆเหมือนกำลังนั่งคุยกันอยู่บนเตียง

                “แหมเล่นเอาอยากมานอนกอดเสียคืนนี้เลยนะ แล้วจะมาเมื่อไหร่”

                “อีกสองวันค่ะ ตอนนี้ลาพักร้อนพอดี ทั้งวันฝึกซ้อมและวันรับจริง รวมเข้ากับเวลาเดินทางไปกลับก็คงเป็นสัปดาห์ อย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน มีใครอยู่ด้วยก็เก็บซ่อนไว้ก่อนนะ อย่าให้ออกมาเพ่นพ่าน” ว่าที่บัณฑิตสาวสะบัดหางเสียงใส่ชายคนรัก

                “งอแงไปได้ เหงาจะตาย คิดถึงแทบแย่แล้วรู้ไหม จะมีใครได้เล่า เออ ..แล้วพ่อแม่มาด้วยหรือเปล่า” น้ำเสียงนั่นบอกถึงความกังวล เพราะอย่างน้อยหากพ่อแม่มาด้วย ความเป็นส่วนตัวคงไม่มีแน่ และโอกาสจะนอนกกกอดกันคงเป็นไปได้ยาก

                คำถามของชายคนรัก ทำให้หล่อนหมดอารมณ์หวานไปทันที แต่ก็ยังพอมีสติคิดหาทางออกได้ทัน พยายามปรับน้ำเสียงให้สมจริง

                “ท่านจำเป็นค่ะ มาไม่ได้หรอก พ่อป่วย หมอนัดตรวจอีกสามวัน แม่ต้องคอยดูแล แย่จังนะคะ ส่งลูกเรียนมาจนจบ แต่พอวันสำคัญกลับมาไม่ได้ ใจจริงท่านอยากมาทั้งคู่ อย่างว่าแหละเนาะ เรื่องเจ็บป่วยมันจำเป็น เอาไว้ใส่ชุดถ่ายกับท่านวันหลังก็ได้”

                “เข้าใจครับ แย่จัง ยังไงก็ฝากอวยพรท่านให้หายไว ๆนะครับ”

                “ค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เดี๋ยวเกิดไม่สบายไปอีกคน งานนี้คงไม่มีความหมาย” หล่อนทำเป็นเสียงเศร้า ในส่วนลึกยังปรารถนาจะให้พ่อป่วยจริง ๆ เรื่องทุกอย่างจะได้ง่ายเข้า

                “เช่นเดียวกันนะครับ ฝากหอมแก้มว่าที่บัณฑิตคนใหม่ด้วย หวัดดีครับ คิดถึงคนรอด้วยนะ”

                “ค่ะ เดี๋ยวจะไปให้หอมทั้งคืนเลย”

                หญิงสาวหลับตาพริ้ม เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน เขาทำงานบริษัทแถวสะพานใหม่ และพยายามหาทางให้หล่อนไปทำงานด้วย ตอนเรียนหนังสือก็เช่าหอพักอยู่ด้วยกัน

ตั้งแต่ปีสอง หล่อนคิดว่าเขาเป็นคนดีและจริงใจ แม้เพื่อนจะส่งข่าวมาว่าเคยเห็นเขาควงผู้หญิงหลายต่อหลายครั้ง แต่หล่อนก็วางใจเขา

                ทั้งคู่ไม่เคยไปบ้านของกันและกัน ไม่เคยรู้จักกับพ่อแม่ของแต่ละฝ่าย รู้สึกว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรเลย

                คิดถึงวันสำคัญที่ใกล้เข้ามา .. พ่อแม่คงไม่เรื่องมากหนอกน่า .. พูดอะไรสั่งอะไรก็เอาตามอยู่แล้ว หรือลองขัดใจสิ ..ลองสิ

 

                พอเห็นหน้ากันยังไม่ทันวางกระเป๋า ลูกสาวก็รีบทวงเงินทันที นางยิ้มและบอกว่าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วตามที่ขอ พูดจบก็ควักเงินที่ถุงพลาสติกที่เหน็บไว้ในชายพกให้ ลูกสาวนับเสร็จแล้วจุดยิ้มลวก ๆ ก่อนหันไปบ่นเอากับผู้เป็นพ่อเรื่องสูบบุหรี่ จากนั้นจึงขอตัวไปพักผ่อน

                พอลูกสาวคล้อยหลังไปแล้ว นางหันมาใช้ความพยายามกับถุงน่องอีกครั้ง ชุดที่เช่ามาไม่สร้างปัญหาอันใดให้กับนาง นางลองดูแล้วพอใจจนออกจะเขินอายกับความภูมิฐาน แต่กับถุงน่อง ส้นเท้าที่เพียรถูยังคงเป็นอุปสรรคอย่างมาก นางลองแล้วลองอีก มันก็ยังติดตรงรอยแตกเป็นขุย เฝ้าก้ม ๆเงย ๆอยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวว่า มีสายตาคู่หนึ่งแอบมองดูด้วยความสมเพช

                “แม่กับพ่อตื่นตูมไปเอง ใครบอกล่ะว่าจะให้ไปด้วย” ลูกสาวนางเดินออกมายื่นกอดอก ปรายตาเหยียด ๆมายังนางซึ่งยังคงนั่งยอง ๆ สองมือกำลังพยายามจัดการกับถุงน่อง

                “เอ๋า..” นางอุทานออกมาอย่างผิดหวัง เงยหน้าขึ้นมองลูกสาวที่สะบัดหน้าไปอีกทาง ดวงตาชราฉายแววหมองหม่นเหมือนกับว่าความหวังทั้งหมดได้หลุดลอยไปเกินไขว่คว้า

                “หนูตกลงกับเพื่อนในตัวอำเภอว่าจะเหมารถตู้ไปกันเอง รถมันเต็มแล้ว ญาติเขาเยอะ พ่อกับแม่ไม่ต้องถ่อสังขารไปหรอก เดี๋ยวไปเงอะ ๆงะ ๆ รถจะชนเอา เป็นอะไรไปจะยุ่ง” ลูกสาวตัดบทก่อนเดินเข้าห้องไปอย่างไม่ไยดี

                น้ำตานางไหลพรากลงรดถุงน่องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนสามีที่ได้ยินคำพูดลูกสาวตลอด แกยังคงนอนสูบบุหรี่ ปล่อยสายตาเหม่อลอยให้เคว้งคว้างไปอย่างไร้จุดหมาย

 

                ดึกแล้ว  นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สามีของนางขยับตัวไปมาในความมืด พอบอกให้รู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่ บัดนี้คอกควายที่ใต้ถุนว่างเปล่า มันจากไปเหมือนกับความหวังในตัวลูกสาว คิดมาแล้วน้อยใจนัก ..ลูกเอ๋ย .. อุตส่าห์ส่งให้ร่ำเรียนสูง ๆ ทนอดมื้อกินมื้อเพื่อรอคอยวันที่ลูกพบกับความสำเร็จ นางไม่นึกเลยว่า การใช้ชีวิตในเมืองหลวง การได้รับการศึกษาดี ๆจะเปลี่ยนแปลงลูกสาวตัวเองไปแบบนี้

                เมื่อเรียนจบ มาทำงานห้างในตัวจังหวัด ลูกสาวเคยบอกกับนางว่าคงทำชั่วคราว มันดูไม่สมศักดิ์ศรี ทำรอการเรียกตัวจากบริษัทที่กรุงเทพฯ นางไม่ออกความเห็น ทุกอย่างตามใจลูกทั้งหมด ลูกสาวของนางสวย ผิวพรรณดี ความรู้สูง จะมานั่ง ๆนอน ๆอยู่บ้านให้คนนินทาได้อย่างไร อนาคตต้องดีมีเกียรติ ได้งานทำสบาย ๆ นางกับสามีเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง จะหวังอะไรเพื่อตัวเองอีกเล่า

ป่านนี้ลูกสาวของนาง คงกำลังรื่นเริงอยู่ในงานเลี้ยงฉลอง ณ ห้องอาหารหรูที่ไหนสักแห่ง เงินเป็นหมื่นที่ขายควายได้ คงไม่ทำให้น้อยหน้าคนอื่น เสียงกรี๊ดวี้ดว้าย และเสียงหัวเราะเริงร่า แสงแฟลซจากกล้องหลายตัววูบวาบจับมาที่ร่างของลูกสาวซึ่งเป็นดาวเด่นของงาน..      นางคิดแล้วทอด

ถอนใจ.. มองดูสามีที่นอนขดตัวอยู่ข้างแคร่ท่ามกลางลมหนาวก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปฉวยเอาผ้าห่มเก่า ๆติดมือมา

                .. ถ่ายรูปมาให้แม่ดูเยอะ ๆนะลูก ..  นางรำพึงปนเสียงสะอึกสะอื้น ก่อนกระย่องกระแย่งลงบันไดเพื่อเก็บถ้วยชาม

               

 

                                                00000000000000000000000000000

           

พิมพ์ครั้งแรก : ทัศนาวดี. (นามแฝง). (13-19 พฤศจิกายน).จากดอนลำดวนถึงสวนอัมพร.สกุลไทยรายสัปดาห์  54(2769), 86-88.

หมายเลขบันทึก: 344750เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2010 13:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 20:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขายนามาส่งควายเรียน เป็นคำบ่นของคนเป็นพ่อแม่

ขายควายไปหลายตัว เมื่อไรควายจะจบเสียที่ นี่ก็อีกคำบ่น

เป็นอะไรที่ใช่เลย ลุ้นซีไรต์ต่อ เน้อ

เป็นเรื่องที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมากค่ะ อ่านแล้วได้ข้อคิดที่ดีมากๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท