ผมเป็นคนโชคดี ที่มีคนออกเงินให้ไปเรียนรู้เรื่องต่างๆ ฟรี ในนามของการเชิญไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เรื่องต่างๆ หลากหลายมาก
สาวน้อยถามว่า ทำไมทรงคุณวุฒิเสียทุกเรื่อง ผมตอบว่า เพราะผมตั้งใจไปเรียนรู้ การเรียนรู้โดยเอามาตั้งเป็นคำถาม ถามตัวเองและผู้อื่น ก็ทำให้คนทั่วไปคิดว่าเราทรงคุณวุฒิได้ สรุปว่าผมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการตั้งคำถาม ที่อาจเป็นคำถามแปลกๆ หรือให้ความเห็นแปลกๆ ที่อาจไม่อยู่กับร่องกับรอย
เอามาเล่าไว้ สำหรับให้คนแก่ท่านอื่นๆ ที่เหงา อาจลองใช้เคล็ดลับนี้บ้าง ชีวิตจะสนุกขึ้นทันตา
คนมักคิดว่าคนแก่มีความรู้มาก แต่ผมกลับมองว่าคนแก่ความรู้น้อยและโบราณ เมื่อตระหนักเช่นนี้แล้ว ก็หันมาเป็นคนแก่ขี้สงสัย ผู้คนเขาก็จะยกย่องให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิไปเอง
เนคเทค ชวนไปร่วมประชุมระดมความคิดเห็น ประเด็นท้าท้ายต่อการขับเคลื่อน ICT ของประเทศไทยในระยะ 10 ปี (Grand Challenges Thematic Session) เรื่องที่ 2 “บทบาทของ ICT กับการสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม (civic empowerment)” ในวันที่ 19 - 20 กุมภาพันธ์ 2553 ณ โรงแรม THE TIDE RESORT บางแสน จังหวัดชลบุรี ทำให้ผมได้ตื่นตาตื่นใจกับคำทำนายอนาคตของ ไอซีที ใน ๑๐ ปีข้างหน้า ซึ่งอ่านได้ที่นี่
ประเด็นสำคัญของการประชุมระดมความคิดครั้งนี้ เพื่อหาทางให้กรอบนโยบาย ICT ของประเทศ ช่วงปี ๒๕๕๔ – ๒๖๖๓ สนองเป้าหมายหลักของสังคม ๒ ประการ คือ (๑) พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนในแนวทางประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงการรับรอง และประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เช่นสิทธิมนุษยชน หรือสิทธิอื่นใดที่รัฐพึงให้แก่ประชาชนของตนในประเทศทุกคน (๒) การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และชุมชน
ผมนึกชมคณะผู้ยกร่างกรอบนโยบาย ICT นี้อยู่ในใจ ว่าคำนึงถึงภาพใหญ่ของสังคมดีมาก และข้อมูลเกี่ยวกับการยกร่างกรอบนโยบายก็เปิดเผยแก่สาธารณชน สามารถเข้าถึงได้ที่ http://www.ict2020.in.th/
ทางผู้จัดการประชุมทำการบ้านมาอย่างดี มีการนำเสนอสถานภาพพื้นฐานเกี่ยวกับ ICT ไทย และสถานภาพ ICT ของภาคประชาสังคม ให้เห็นว่ายังล้าหลังประเทศในอาเซียนหลายประเทศ ตามมาด้วยการประชุมกลุ่ม ๒ กลุ่มเพื่อระดมความคิดตอบคำถามเดียวกัน คือ
• แนวคิด เป้าหมาย ของการสร้างตวามเข้มแข็งของภาคประชาสังคมในมิติที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตทั่วไป และการมีงานทำ และบทบาทของ ICT
• การมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครอง การขับเคลื่อนทางสังคม และบทบาทของ ICT
โดยผู้จัดการประชุมแบ่งกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมาย ออกเป็น ๗ กลุ่มคือ
๑. ประชาชนทั่วไป
๒. ผู้พิการ หรือด้อยโอกาส
๓. คนยากจนเน้น
๔. คนในชนบท
๕. ผู้สูงอายุ
๖. เด็กและเยาวชน
๗. อื่นๆ
ผมชอบสังเกตวิธีการ (methodology) ของการประชุม และของวิธีทำงานต่างๆ พบว่าการประชุมกลุ่มย่อยครั้งนี้แปลกใหม่สำหรับผม ตรงที่ใช้กระดาษ Post It ให้แต่ละคนเขียนคำตอบคล้ายๆ ข้อสอบปรนัย แถมยังมีวิธี tag RFID กระดาษแต่ละแผ่นว่าเป็นของใครอีกด้วย สมกับเป็นการประชุมของเนคเทค ซึ่งเมื่อผมถามวิธี tag เขาก็พลิกด้านหลังของกระดาษด้านมีกาวให้ดู จึงรู้ว่า ผมนี่โง่จริงๆ
การตอบข้อสอบปรนัยเป็นยาขมของผม เพราะผมคิดให้ถูกหมดทุกข้อก็ได้ ผิดหมดทุกข้อก็ได้ โดยคิดเปลี่ยนบริบทของแต่ละข้อ ผมจึงสังเกตเห็นว่าผู้ร่วมประชุมกลุ่มต่างก็งงๆ กันทั่วหน้า และเมื่อรวบรวมผมเอากระดาษ Post It ไปแปะตามช่องของตาราง ก็ให้ความสนใจที่ช่องที่มีคนลงคะแนนมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบเน้น normal distribution ในขณะที่ผมชอบวิธีคิดแบบเน้น power-law distribution มากกว่า หรือยิ่งดี ถ้าคิดทั้ง ๒ แบบ
ตัวอย่างโจทย์ และคำตอบให้เลือก ๑ ข้อมีดังนี้
ภายใต้ทรัพยากร (งบประมาณ คน โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ) ที่จำกัด ภายใน ๑๐ ปี ๖พ.ศ. ๒๕๕๔ – ๒๕๖๓) คนแต่ละกลุ่มประสบปัญหาอะไรในชีวิตประจำวันมากที่สุด
ก. การศึกษา/การเรียนรู้
ข. การมีงานทำ
ค. การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และบริการทั่วไปของรัฐ
ง. การเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน
จ. อื่นๆ
ผมได้แนวคิดวิธีใช้ post it ตอบคำถามปรนัย ว่า หากมีโอกาส ผมจะใช้สำหรับกระตุ้นให้แต่ละคนอธิบาย ว่าทำไมจึงเลือกข้อนั้น โดยเน้นว่า เราอยากได้ข้อคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย คือสำหรับ ลปรร. ข้อคิดเห็นอัตนัย นั่นเอง
โดนจริตชอบสังเกตวิธีจัดการประชุมลากเข้าซอยไปไกล กลับมาที่สาระของบทบาทของ ICT กับภาคประชาสังคมในอนาคต ผมมองเป้าหมาย ๒ จุดเท่านั้น คือ
๑. ให้ภาคประชาสังคมได้ใช้ประโยชน์ของ ICT ใกล้เคียงกับภาคธุรกิจ คือให้ช่องว่างลดลงจากปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อ
๒. ให้ใช้ ICT เพื่อเป็นฝ่ายกระทำ เป็นผู้ผลิต มากกว่าเป็นผู้ถูกครอบงำ หรือผู้บริโภค
หลังจากประชุมเสร็จ กลับมาที่บ้าน ผมถามตัวเองว่า ผมได้เรียนรู้อะไร จากการไปร่วมประชุมครั้งนี้ ผมตอบตัวเองว่า ได้ความรู้ภาพใหญ่ว่าคนในภาคประชาสังคม ซึ่งค่อนข้างจะเป็นกลุ่มเสียเปรียบหรือด้อยโอกาสในสังคม ต้องการให้ใช้หลักการ rights-based ในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์
ผมดีใจ ที่ได้ไปเสนอแนวความคิด ให้คนทั่วไปในสังคมได้รับประโยชน์จากขบวนการ Learning Society ให้คนทุกคนในประเทศไทย ได้มีกระบวนการเรียนรู้ในชีวิตการงานประจำวัน และการดำรงชีวิตประจำวัน โดยใช้ KM เป็นเครื่องมือ ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนได้ upgrade เทคโนโลยีและความรู้ของตนอยู่ทุกวัน ทีละเล็กละน้อย จนมีนิสัยและมีทักษะของบุคคลเรียนรู้ โดยมี ICT เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงความรู้ภายนอก และอำนวยความสะดวกในการ ลปรร. ในกลุ่มและนอกกลุ่ม แนวคิดนี้ ได้รับการยอมรับจากการประชุม ทำให้ผมมีความสุขมาก
ผมขอบันทึกไว้ว่า ผู้มาร่วมประชุมหลายคนรู้จัก KM แนว สคส. และรู้จัก สคส. เคยเข้ามาใช้เว็บไซต์ของ สคส.
ผมฝันให้สังคมไทยสามารถเอา ICT มาใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ช่วยเพิ่ม human dimension ของสังคมไทย ไม่ใช่ ICT มา dehumanize สังคมไทย
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ก.พ. ๕๓
บรรยากาศในห้องประชุม
อีกมุมหนึ่ง
คณะผู้นำการประชุม
ไม่มีความเห็น