ตอนที่ 2 การศึกษาไทยย่างก้าวเข้าสมัย
การเรียนรู้ของมนุษย์มีพัฒนาการเรื่อยมา จากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
จนในที่สุดจากการเรียนรู้จากธรรมชาติ การเลียนแบบ
การบอกต่อจากรุ่นต่อรุ่น ก็มีระบบระเบียบมากขึ้น
มีการแบ่งหน้าที่เป็นผู้เรียน ผู้สอนที่ชัดเจนขึ้น
จากการเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่เคยพบ
เป็นการค้นหาสิ่งที่ยังไม่เคยมี ยังไม่เคยพบ
ค้นหาคำอธิบายถึงสิ่งที่เร้นลับ หรือสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้
กลายเป็นการศึกษาที่มีพัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าการศึกษามีพัฒนาการที่ต่อเนื่องมาโดยตลอด
และจะมีการก้าวกระโดดทุกครั้งที่มีการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ
ระบบการศึกษาของไทยก็คงจะมีพัฒนาการมาไม่ต่างจากชนชาติใด
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดวัฒนธรรม ประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์
การเรียนรู้ที่สั่งสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้เกิดความเสถียรกลายเป็นรูปแบบระบบการศึกษาของตนเอง
ความเป็นมาของระบบการศึกษาไทยได้มีการแบ่งออกได้เป็น 5 ช่วง (ประไพ
เอกอุ่น 2542 : 75) ซึ่งอาจจะกล่าวพอสังเขปได้คือ
1. การศึกษาของไทยสมัยโบราณ
ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.1781 - พ.ศ.2411 สามารถแบ่งออกได้เป็น 3
ช่วงคือ
การศึกษาสมัยสุโขทัย
การศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยา
การศึกษาสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
2. การศึกษาของไทยสมัยปฏิรูปการศึกษา พ.ศ.2412 -
พ.ศ.2474
3.
การศึกษาของไทยสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญระยะแรก พ.ศ.2475 -
พ.ศ.2491
4. การศึกษาของไทยสมัยพัฒนาการศึกษา พ.ศ.2492 -
พ.ศ.2534
5. การศึกษาของไทยสมัยปัจจุบัน พ.ศ.2535 -
ปัจจุบัน
การศึกษาของไทยในสมัยโบราณ (พ.ศ.1781 - พ.ศ.2411)
มีรูปแบบเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี
ผู้คนต้องขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเองจากผู้รู้ในชุมชนต่างๆ
มีบ้านและวัดเป็นศูนย์กลาง พ่อแม่จะถ่ายทอดอาชีพให้กับลูกๆ
วังเป็นสถานที่รวบรวมนักปราชญ์สาขาต่างๆซึ่งจะมีการถ่ายทอดความรู้กันอย่างมีระบบแบบแผน
ส่วนวัดจะเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา
พระทำหน้าที่อบรมสั่งสอนธรรมะ
การบวชเรียนเป็นการเข้าถึงการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่ง
การถ่ายทอดวิชาความรู้มีทั้งการอบรมสั่งสอนด้วยวาจา
การปฏิบัติกิจกรรมตามวัฒนธรรมประเพณี
ไปจนถึงการบันทึกเป็นตำราในรูปแบบของวรรณกรรมต่างๆ
ซึ่งหากเราได้ศึกษาประวัติศาตร์จะพบว่า
จะมีความรุ่งเรืองและซบเซาสลับกันอยู่ไปมาในหลายยุคหลายสมัย
สมัยใดที่การศึกษามีความเจริญรุ่งเรือง ระบบเศรษฐกิจ การเมือง
สังคมของคนในยุคนั้นก็จะดีไปด้วย
แต่หากในยุดใดมีความตกต่ำถดถอยสภาพต่างๆก็จะเป็นตรงกันข้าม
บ้านเมืองอ่อนแอและมักมีสงครามเกิดขึ้นได้เสมอ
กล่าวกันว่า
ระบบการศึกษาของไทยเข้ามาสู่ยุคที่อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชการที่
5 โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนเข้ารับราชการ
และมีความรู้ความสามารถทัดเทียมฝรั่งแต่ไม่ใช่ฝรั่ง
(คณะภาควิชาพื้นฐาน 2532 : 7) ซึ่งเราคงรู้กันดีว่าในสมัยนั้น
ภัยจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งต่างชาติมีความล่อแหลมและกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติเป็นอย่างยิ่ง
แต่จากสายพระเนตรอันยาวไกลของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงทราบว่า
การที่ชาติจะดำรงเอกราชอยู่ได้นั้นไม่สามารถทำได้ด้วยการต่อสู้ด้วยกำลัง
แต่ต้องทำให้ผู้คนมีความรู้มีวิชาการที่เท่าทัน
จึงได้ทรงส่งเสริมด้านการให้การศึกษาอย่างจริงจัง
ไม่เพียงแต่กับพระบรมวงศานุวงศ์และบรรดาข้าราชบริพารที่สนองพระเดชพระคุณเท่านั้น
แต่ยังได้ขยายไปถึงสามัญชนทั่วไปด้วย
นี่เองจึงทำให้ระบบการจัดการศึกษาที่เป็นไปอย่างมีแบบแผนได้ถือกำเนิดและมีการขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง
มีการจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมหาราชวัง
มีโรงเรียนสุนันทาลัยเป็นโรงเรียนสตรีในพระบรมหาราชวัง
มีการปรับปรุงโรงเรียนสวนกุหลาบให้เป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็กซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเมื่อ
พ.ศ.2453 จัดตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ.2459
และการจัดตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรอันมีโรงเรียนมหรรณพารามเป็นต้น
ต่อมาเมื่อมีโรงเรียนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบโดยตรง
ในการนั้นกระทรวงธรรมการจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
มีการจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน
เรียบเรียงแบบเรียนหลวงชุดมูลบรรพกิจ และจัดให้มีการสอบไล่ขึ้น
ในช่วงที่เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา
หรือสงครามโลกครั้งที่สองในแถบเอเซียตะวันออก
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างมากในหลายด้าน
แต่การศึกษาของเราก็ยังมีพํฒนาการที่ดีตลอดมา
การศึกษาที่มีส่วนเชื่อมต่อกับยุคปัจจุบันเริ่มตั้งแต่
การจัดทำแผนการศึกษาชาติฉบับที่ 1 ในปี พ.ศ.2503 เป็นต้นมา
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : Administrator,
http://www.kroobannok.com/3345
ชอบบันทึกนี้ครับ
ขอบคุณครับ