• ช่วงเรียนปี ๑ ที่ศิริราช ผมพยายามเพิ่มเวลาเรียนให้ได้มากขึ้นโดยลดเวลาเดินทางจากที่อยู่ที่เจริญผลมาที่ศิริราช โดยทดลองมาเช่าหออยู่กับกฤษณ์ หิรัญรัศ ที่หอพักด้านหลังศิริราชในช่วงนั้น (บริเวณนั้นเดี๋ยวนี้กลายเป็นพื้นที่ของศิริราชหมดแล้ว) แต่ไม่ได้ผลเพราะกฤษณ์ชอบนอนท่องหนังสือและเปิดไฟท่องจนนอนหลับไป ผมนอนไม่หลับ ลองอยู่เดือนเดียวก็เลิก
• พอขึ้นปี ๒ ก็ขออนุญาตอาและพ่อแม่มาเช่าหอพักอยู่ที่พรานนก เรียกกันว่า “หอนายหง่า” ในช่วงแรกผมเข้าไปอยู่เป็นคนสุดท้ายจึงได้ห้องใต้ถุน ที่เขากั้นใต้ถุนอาคารไม้ชั้นเดียวที่ยกพื้นสูงประมาณ ๒ เมตร ให้เป็นห้อง และแบ่งเป็น ๓ ห้อง เหลือห้องกลางอยู่ห้องเดียวผมต้องจำใจเอา กลางคืนร้อนมาก เปิดพัดลมก็ได้ผลน้อย เพราะมีหน้าต่างด้านเดียว ต้องใช้วิธีเปิดประตูหน้าต่างและจุดยากันยุง ผมนอนรมยากันยุงอยู่ประมาณ ๔ เดือน เมื่อมีคนย้ายออกจากห้องที่ดีกว่าผมจึงย้ายเข้าไปแทน การอยู่หอนายหง่านี้ช่วยให้ผมลดเวลาเดินทางลงไปได้มาก
• ต่อมา ขึ้นปี ๓ เพื่อนมาบอกว่าหอประชาธิปไตยว่างไปอยู่ได้ ผมก็ตามเพื่อนไปอยู่หอประชาธิปไตยชั้น ๔ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ห้องหันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา ได้รับลมเย็นสบาย ในห้องที่ผมอยู่อยู่กัน ๔ คน ผมก็ได้ใช้วิชาอดกลั้นอดทนอยู่ร่วมห้องเดียวกันกับเพื่อน บางครั้งเพื่อนเล่นไพ่เฮฮากัน ผมจะต้องนอนหลับให้ได้ และต้องไม่รู้สึกรำคาญเพื่อน
• การอยู่หอร่วมกันโดยที่ต้องใช้ห้องส้วมและห้องน้ำร่วมกัน ทำให้เราต้องปรับตัว ผมหัดนอนแต่หัวค่ำและตื่นก่อนคนอื่นเพื่อไม่ต้องรอห้องน้ำห้องส้วม
• พอขึ้นปี ๔ เป็นซีเนียร์ เราย้ายไปอยู่หอซีเนียร์อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ผมชักช้าไม่ทันเพื่อนจึงได้ห้องทางทิศตะวันตก ร้อน และไม่มีวิวแม่น้ำ แต่ตอนนั้นมัวตื่นเต้นว่าได้อยู่ห้องละคน อ่านหนังสือได้โดยอิสระโดยไม่ต้องเกรงใจใคร จึงไม่ได้เสียดายวิวแม่น้ำ ที่หอเก่าหรือหอซีเนียร์นี้พวกเราเป็นเจ้าถิ่นเต็มที่ แสดงออกเต็มที่ เวลาเครียดจัดเพราะใกล้สอบก็จะมีคนระบายความเครียดแบบแปลกๆ เช่นเอาถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรมากลิ้งลงบันไดให้มีเสียงดังโครมคราม ร้องเสียงโหยหวน หลอกผีเพื่อน เป็นต้น
• ที่ชั้นล่างมีห้องบิลเลียด มีการเล่นบิลเลียด หรือสนุกเกอร์พนันกัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือเล่นผี คนที่เล่นเก่งเป็นเซียนมักจะติดและเสียการเรียน ผมเคยลองแทงดูบ้างตอนเช้ามืด โชคดีที่ไร้แวว จึงไม่คิดจะหัด
• แต่การพนันไม่ได้มีแค่บิลเลียด มีการเล่นโปกเกอร์ และ เผ กันด้วย อันนี้ไม่ต้องใช้ฝีมือ ใช้ความกล้าลูกหลอกล่อ ผมได้เข้าร่วมวงกับเขาบ้างพอให้รู้ว่า คำว่า “เกทับ” “ลักไก่” “ตีหน้าตาย – poker face” “เกหมดหน้าตัก” คืออะไร ผมได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราต้องการความตื่นเต้น และบอกตัวเองว่าเราหาความตื่นเต้นจากการทำงานและทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ให้แก่สังคม ดีกว่าหาความตื่นเต้นจากการพนัน
• แต่เพื่อนของผมบางคนที่เล่นการพนันก็เป็นคนมีผลการเรียนดีด้วย เรียนได้ดีเกือบเท่าผม หรือบางวิชาเรียนได้ดีกว่าผมด้วยซ้ำ ทำให้ผมสงสัยมากว่าเขาทำได้อย่างไร ผมบอกตัวเองว่าผมทำอย่างนั้นไม่ได้ คงจะเป็นเพราะผมสมองไม่ดีอย่างเขา ทำอะไรทีละหลายอย่างไม่เป็น
วิจารณ์ พานิช
๒๘ พค. ๔๙