• ผลสอบปี ๒ ที่จุฬาเป็นครั้งแรกใน ๕ ปี ที่ผมสอบไม่ได้ที่ ๑ คือได้ที่ ๒ เป็นสัญญาณว่ายุครุ่งโรจน์ด้านผลการเรียนน่าจะจบลงแล้ว พอเข้าเรียนที่ศิริราชปี ๑ มีการสอบย่อยๆ เกือบทุกสัปดาห์ ผลสอบของผมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ไม่ใช้สูงสุดหรือใกล้สูงสุด อาจารย์ที่สนิทกันและรู้กิตติศัพท์ผลการเรียนของผมมาคุยอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมผมเรียนได้ไม่ดีเหมือนก่อน สภาพผลการเรียนตกต่ำตามหลอกหลอนผมต่อมาอีกหลายปี แม้ตอนทำงานแล้วผมก็ยังเคยฝันร้ายที่สะท้อนความเครียดจากการที่ไม่สมหวังด้านผลการเรียนแพทย์
• ตอนเรียนปี ๒ ที่จุฬาฯ การเรียนค่อนข้างเบา มีชั่วโมงว่างมาก แต่พอมาเรียนปี ๑ ที่ศิริราช เรียนสัปดาห์ละ ๓๙ ชั่วโมง เริ่ม ๘ โมงตอนเช้า เลิก ๕ โมงเย็น มีชั่วโมงว่างสัปดาห์ละชั่วโมงเดียว คือวันพฤหัส ๑๑ - –๒ น. วิชาที่เรียนหนักที่สุดคือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งเน้นที่การเรียนโดยชำแหละศพ วันหยุดเราก็ต้องไปเรียนเอง และวันธรรมดาบางวันเราก็อยู่เรียนเองจากศพอาจารย์ใหญ่จนค่ำมืด เรียกว่าในช่วง ๑ ปีนั้นผมแทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
• ที่จริงจะว่าผลการเรียนแย่มากๆ ก็ไม่ใช่ เพราะทุกปีผมก็ได้สวมชุดขาวขึ้นรับรางวัลคะแนนเยี่ยมในวิชาใดวิชาหนึ่ง คือยังเกาะกลุ่ม นศพ. เรียนดีและความประพฤติดี เพียงแต่ว่าไม่ใช่ที่ ๑ อย่างในอดีต แต่คำวิจารณ์จากเพื่อนและอาจารย์ทำให้เราเครียด และยิ่งเครียดที่ขยัน มุมานะเท่าไรก็ไม่ดีขึ้น
• ผมเริ่มเข้าใจว่ายิ่งเรียนสูงขึ้น เราก็จะยิ่งได้พบคนเก่งยิ่งขึ้น แต่ที่ผมแปลกใจก็คือมีบางคนตอนเรียนโรงเรียนเตรียมฯ ผลสอบไม่ดีนัก แต่มาเรียนกายวิภาคศาสตร์คะแนนชนะผมทุกครั้ง ผมสรุปกับตัวเองว่าคนเราไม่แน่นอน ความเก่งอาจมาเริ่มฉายแสงเอาตอนอายุมากขึ้นหน่อยก็ได้ ตอนไปทำงานเป็นรองอธิการบดีที่ มอ. แล้ว ดร. ผาสุข กุลละวนิชย์ อธิการบดีบอกผมว่ามีคนจำพวกหนึ่งเป็นคน “บานช้า” คือมาเก่งเอาตอนโตหรือตอนจะแก่
• ผมเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองว่าคนเรามีความเก่งถึง ๘ ด้าน ที่เรียกว่า พหุปัญญา (multiple intelligence) เสนอโดย Howard Gardner ไว้ตั้งนานแล้ว ใน ๘ ด้านนั้นผมบอดตั้งหลายด้าน รวมทั้งด้านทิศทาง โครงสร้าง รูปร่าง (spatial) เป็นคำอธิบายว่าทำไมผมจึงเรียนกายวิภาคศาสตร์ได้ไม่ดี และทรมานมากในการเรียน เมื่อเรียนแบบเครียดเพราะความไม่ถนัดก็ดึงผลการเรียนวิชาอื่นลงไปด้วย เท่ากับว่าผมเลือกผิดที่มาเรียนแพทย์
• ผมถามตัวเองในตอนนี้ว่าการที่ผมมาเรียนแพทย์ถือเป็นการเดินทางชีวิตที่ผิดหรือไม่ คำตอบของผมคือไม่ผิด การเรียนแพทย์ทำให้ผมได้เรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์ ได้ครู ได้เพื่อน และได้คู่ชีวิตที่จะหาดีกว่านี้ได้ยาก และทำให้ผมเป็นคนคนนี้ ถ้าผมอยู่ทำงานที่บ้านตามที่พ่อชวน ผมก็จะเป็นนายวิจารณ์อีกคนหนึ่ง ถ้าผมเรียนเคมีเทคนิค ผมก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง อาจจะมีฐานะทางทรัพย์สินเงินทองดีกว่านี้ แต่ถ้าให้เลือกได้ ผมเลือกชีวิตที่พอเพียงอย่างที่เป็นอยู่นี้
• ถึงแม้ผลการเรียนด้านคะแนนจะไม่สูงเด่น ผมก็ได้ซึมซับเรียนรู้จากตัวแบบอาจารย์ที่เป็นคนดี คนเก่ง หลากหลายแบบ เปรียบเหมือนนกแขกเต้าที่ตกไปอยู่กับนักปราชญ์ นี่ก็เป็นการเรียนที่ไม่มีใครมาวัดผลให้ ไม่มีใครสอนตรงๆ แต่โอกาสเปิดให้ผมเรียนเอาเอง การเรียนแบบนี้แหละที่หล่อหลอมและส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของผมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเรียนวิชา
วิจารณ์ พานิช
๒๘ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น