แก่นเรื่องใหญ่และแก่นเรื่องย่อย ( Main theme and Sub-theme ) เป็นศัพท์วรรณคดีที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ในวงการวรรณคดีไทยยังไม่มีศัพท์บัญญัติที่แน่นอนสำหรับคำนี้ โดยทั่ว ๆ ไป มักใช้ว่า แก่นเรื่อง หรือ แนวเรื่อง เช่น หนังสือวรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์ ใช้ว่า แนวเรื่อง แต่วิทยานิพนธ์ ใช้ว่า แก่นเรื่อง หนังสือวรรณคดีอื่น ๆ ใช้ปะปนกะนทั้งสองคำ
แก่นเรื่องนั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. แก่นเรื่องใหญ่ ( main theme ) หรือแก่นเรื่องหลัก ถือเป็นแก่นหรือแกนกลางของเรื่อง หมายความว่า เรื่องทั้งหมดจะผูกพันเกี่ยวโยงกับแก่นเรื่องใหญ่นี้โดยตลอด การดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจะเริ่มต้นด้วยแก่นนี้เป็นจุดเรื่อง และในที่สุดก็จะจบลงที่จุดซึ่งแสดงการคลี่คลายของแก่นเดียวกันนี้
2. แก่นเรื่องย่อย ( sub-theme ) หมายถึงแก่นหรือแกนกลางของพฤติกรรมหรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งดำเนินอยู่ในเรื่อง แก่นเรื่องย่อยจะมีความผูกพันเกี่ยวโยงกับแก่นเรื่องใหญ่ แก่นเรื่องย่อยนี้จะมีจำนวนเท่าไรก็ได้ แล้วแต่ผู้แต่งต้องการจะสอดแทรกเรื่องอะไรเข้ามาโยงกับแกนเรื่องใหญ่
เมื่อพิจารณาแก่นเรื่องใหญ่ของเรื่องพระอภัยมณี จะพบว่า ไม่มีแก่นเรื่องใดที่สำคัญและและชัดเจนพอที่จะระบุว่าเป็นแก่นเรื่องสำคัญ พฤติกรรมและตัวละครจะทำหน้าที่เป็นแก่นของเรื่องให้เรื่องดำเนินติดต่อกันไปโดยตลอด เป็นเสมือนเส้นด้ายที่ร้อยพฤติกรรมและตัวละครต่าง ๆ ตามท้องเรื่องเข้าด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องมีแก่นเรื่องใหญ่ กล่าวคือ ตัวพระอภัยมณีเป็นเสมือนด้ายที่ร้อยเอาตัวละครอื่น ๆ และพฤติกรรมทั้งหลายในเรื่องไว้ด้วยกัน เพราะตัวละครทุกตัวและเหตุการณ์ส่วนใหญ่จะต้องผูกพันเกี่ยวเนื่องอยู่กับตัวพระอภัยมณีทั้งสิ้น
เรื่องพระอภัยมณีประกอบด้วยแก่นเรื่องย่อยหลายแก่น ซึ่งเป็นเครื่องอธิบายพฤติกรรมแต่ละอย่าง แก่นเรื่องย่อยเหล่านี้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยอาศัยบทบาทของพระอภัยมณีเป็นตัวประสานเรื่อง และทำหน้าที่เป็นแกนกลาง
จากการวิเคราะห์เรื่องพระอภัยมณีโดยละเอียด ได้พบว่ามีแก่นเรื่องย่อยที่น่าสนใจอยู่ 4 แก่นด้วยกัน คือ
1. การเดินทางผจญภัยเพื่อหาประสบการณ์
โครงเรื่องเช่นนี้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยแทบทุกเรื่อง การเดินทางผจญภัยนับเป็นแก่นสำคัญของเรื่องทีเดียว เริ่มตั้งแต่การที่ตัวเอกจะต้องออกเดินทางเพื่อศึกษาหาความรู้อันจำเป็นสำหรับการครองบ้านเมือง ในเรื่องพระอภัยมณีนี้ มีข้อที่น่าสังเกตว่าการสร้างประสบการณ์ให้แก่ตัวละครนั้น สุนทรภู่เน้นถึงความเฉลียวฉลาดรอบคอบในการพิจารณาและหยั่งใจคนอื่นมากกว่า สุนทรภู่ได้เน้นถึงอันตรายที่จะเกิดจากคนธรรมดามากกว่า เช่น สุดสาครต้องประสบภัยอันเกิดจากความหลอกลวงของคน ทำให้สุดสาครเสียทีเพราะขาดความเฉลียวและความยั้งคิด ดังนั้น แม้จะมีวิชาดีอย่างไรก็ไม่วายเสียที เพราะขาดความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์
การสร้างประสบการณ์ให้แก่ตัวละครในเรื่องพระอภัยมณี มีเหตุผลและสิ่งแวดล้อมใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก ตัวละครเหล่านี้ต้องผจญกับปัญหาอันเกิดจากจิตใจและความต้องการของมนุษย์ เรื่องพระอภัยมณีเน้นให้เห็นว่าความสามารถของผู้นำนั้น อยู่ที่การแก้ปัญหาอันเกิดจากบุคคลหรือสังคมของผู้นำนั่นเอง
2. ความสำคัญของวิชาความรู้
แก่นเรื่องย่อยอีกแก่นหนึ่งที่ปรากฏชัดเจนจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นแก่นเรื่องที่เกิดจากความตั้งใจของผู้แต่งอย่างแน่นอน ก็คือความสำคัญของวิชาความรู้ หรืออีกนัยหนึ่งคือความสำคัญของการศึกษา โดยการเดินทางไปเสาะแสวงหาครูอาจารย์ผู้มีวิชา วรรณคดีไทยน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณคดีอินเดีย ซึ่งในเรื่องพระอภัยมณีนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. พราหมณ์
2. โยคี หรือ ฤษี
3. บาทหลวง
นอกจากครูผู้สอนจะมีความสำคัญในฐานะสั่งสอนวิชาการให้แล้ว ยังมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของศิษย์ เพราะครูอยู่ในฐานะที่ได้รับความยกย่องเคารพ เมื่อแนะนำหรือตักเตือนอย่างไร ผู้อื่นมักเชื่อฟังเสมอแม้จะไม่เต็มใจนัก เช่น นางละเวงไม่เต็มใจทำตามสังฆราช แต่ก็ต้องทำเพราะความเกรงใจ เป็นต้น
บทบาทของครูในเรื่องพระอภัยมณีนี้ สุนทรภู่ยึดเค้าจากวรรณคดีเก่า ทำให้บทบาทเหล่านั้นมีความเด่นน่าสนใจ และแปลกไปจากบทบาททำนองเดียวกันในเรื่องอื่น ๆ
นอกจากลักษณะที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทแล้ว สิ่งที่น่าศึกษาอีกอย่างหนึ่งคือวิชาที่กล่าวถึงในเรื่อง จะสังเกตได้ว่าวิชาที่กล่าวถึงมากที่สุดในเรื่องประเภทนี้ คือวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมต่าง ๆ ซึ่งในสมัยก่อนเชื่อถือกันว่าเป็นเรื่องจริงและมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในการศึกษาของผู้ชาย วิชาเหล่านี้ถือเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันตัวที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ในเรื่องพระอภัยมณี วิชาไสยศาสตร์ก็ได้รับการกล่าวถึงบ่อยครั้ง เช่น การทำเสน่ห์ การใช้คาถาอาคม อำนาจลึกลับต่าง ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องนี้ คือแนวความคิดของสุนทรภู่เกี่ยวกับการศึกษาวิชาความรู้ สุนทรภู่ได้เน้นให้เห็นชัดหลายครั้งว่า วิชาความรู้ที่ประกอบด้วยการใช้ความคิด ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้เฉียบแหลมนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ดังเช่นที่โยคีสอนสุดสาครว่า
“ รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ”
( หน้า 391 )
ในเรื่องนี้ ตัวละครทุกตัวได้รับการศึกษาอบรมมาเป็นอย่างดีทั้งสิ้น บ้างก็มีความรู้ด้านการรบ บ้างก็ด้านเวทมนต์คาถา ดังเช่นนางสุวรรณมาลีก็ได้ร่ำเรียนวิชาการรบ เพราะอยู่ในฐานะลูกกษัตริย์ แสดงว่าแม้จะเป็นหญิงหรือชาย ก็มีความจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เท่าเทียมกัน ตัวละครหญิงแทบทุกตัวในเรื่องพระอภัยมณีล้วนแต่มีวิชาความรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายเลย
ความคิดของสุนทรภู่ในการที่แต่งให้พระอภัยมณีเรียนวิชาดนตรีแทนวิชาอย่างอื่น ๆ นั้น สันนิษฐานว่าเป็นเพราะสุนทรภู่มีวิชาสำคัญประจำตัวอยู่อย่างเดียวคือ วิชาการแต่งกลอน ฉะนั้นสุนทรภู่จึงแต่งให้ พระอภัยมณีมีวิชาปี่อย่างเดียว เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าวิชาศิลปะนั้นมีความสำคัญและมีคุณค่าไม่ด้อยกว่าวิชาอื่น ไม่ใช่แต่เพียงสอนวิธีเป่าปี่เท่านั้น พินทพราหมณ์ยังสอนเนื้อความหรือเนื้อหาของเพลงที่จะเป่าว่าจะเลือกเนื้อความและท่วงทำนองอย่างไร จึงจะได้ผลสมความต้องการ วิชาประจำตัวของพระอภัยมณีนั้นสามารถช่วยตัวพระอภัยมณีให้รอดพ้นจากที่คับขันได้ ในเรื่องปรากฏว่า พระอภัยมณีเป่าปี่ถึง 11 ครั้ง ครั้งสำคัญที่กล่าวได้ว่า เพลงปี่ช่วยให้รอดพ้นอันตรายนั้น ได้แก่ครั้งที่เป่าสังหารนางผีเสื้อ และครั้งที่สะกดทัพนางละเวงวัณฬาซึ่งเป็นการ คับขันจวนตัวอย่างยิ่ง แสดงว่าวิชาดนตรีนั้นช่วยตัวเองได้จริง แต่สิ่งที่ปรากฏแน่ชัดคือ สุนทรภู่มีเจตนาที่จะแสดงความสำคัญของวิชาความรู้ว่าจำเป็นยิ่งนักสำหรับทุกคน วิชานั้นจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเรียนรู้จริงและใช้ได้จริง
3. ความว้าเหว่และการขาดความอบอุ่นภายในครอบครัว
ลักษณะที่จะนำมาพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของตัวละครเอก ในเรื่องพระอภัยมณีสังเกตได้ว่า ลักษณะเด่นอย่างหนึ่ง คือการขาดความอบอุ่นภายในครอบครัว ซึ่งเกิดจากการที่ตัวละครมักจะต้องพลัดพรากจากกันเสมอ โอกาสที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้ากันมีน้อย สิ่งที่ตามมาในกรณีนี้คือ ลักษณะของตัวละครมีความว้าเหว่แฝงอยู่
เมื่อนำแนวความคิดเรื่องปมด้อยมาพิจารณาลักษณะตัวละครในเรื่องพระอภัยมณี จะสังเกตได้ว่า ปมด้อยของสุนทรภู่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวนั้นน่าจะมีความสัมพันธ์กับลักษณะของตัวละครในด้านความอบอุ่นในครอบครัว ตัวละครเอก ๆ เกือบทุกตัวจะต้องประสบกับภาวการณ์ พลัดพรากจากพ่อแม่พี่น้อง ต้องเดินทางติดตามหาวงศ์ญาติของตนด้วยความยากลำบาก เช่น
1. ตัวเอกฝ่ายชายมักจะต้องพลัดพรากจากบิดามารดาตั้งแต่เด็ก ๆ หรืออยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง เช่น สินสมุทรอยู่กับพ่อ สุดสาครอยู่กับแม่ เป็นต้น
2. การขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ได้รับทดแทนโดยบุคคลอื่น ซึ่งมาทำหน้าที่พ่อแม่แทน เช่น ท้าวทศวงศ์ ท้าวสุริโยไทย ผู้ที่มาเป็นพ่อแม่บุญธรรมนี้ มีลักษณะเป็นบุคคลในอุดมคติของตัวละครนั้น เช่น นางสุวรรณมาลีมีลักษณะเป็นแม่ที่สินสมุทรอยากจะมี ท้าวทศวงศ์ก็รักศรีสุวรรณมากจนยอมเอาเมืองไปไถ่ชีวิตศรีสุวรรณ ในขณะที่ท้าวสุทัศน์ขับลูกออกจากเมืองด้วยความโกรธที่เรียนวิชาไม่ตรงกับที่ต้องการเท่านั้น
3. ความรักใคร่ผูกพันในตัวพ่อแม่แท้ ๆ ของตนก็คงมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของตัวละคร ดังที่ปรากฏว่า ตัวละครเหล่านั้นไม่อาจลืมความผูกพันกับพ่อแม่แท้ ๆ ของตนได้ ศรีสุวรรณและพระอภัยมณีต่างยังรักใคร่ใยดีท้าวสุทัศน์อยู่
4. สภาพความไม่พร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวมีผลให้ตัวละครหลายตัวมีลักษณะของคนที่ว้าเหว่ ขาดความอบอุ่นในจิตใจส่วนลึก พฤติกรรมที่แสดงออกบางครั้งจึงปรากฏว่าเกิดจากอารมณ์ว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยวใจ
การที่สุนทรภู่สร้างโครงเรื่องให้ชีวิตตัวละครฝ่ายชายมีลักษณะดังนี้ อาจเป็นเพราะปมด้อยที่แฝงอยู่ในจิตใจสุนทรภู่ คือ สภาพความแตกแยกระหว่างพ่อแม่ และการขาดพ่อมาตั้งแต่เล็ก ๆ และปมด้อยนี้ถูกเก็บกดไว้ภายในจิตใต้สำนึก จนปรากฏออกมาในรูปของวรรณคดี โดยสร้างระบบสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาแทน
ในเรื่องพระอภัยมณีนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกมีมาก ดังเช่นสินสมุทร เมื่อได้ยินเสียงปี่ที่ พระอภัยมณีเป่าอยู่ในเรือของอุศเรน สินสมุทรก็ลงน้ำดำไปหาพ่อทันที ด้วยความผูกพันที่มีอยู่กับพ่ออย่างลึกซึ้ง และตลอดทั้งเรื่องไม่ปรากฏว่ามีการต่อว่าระหว่างพ่อลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเองก็ไม่เคยคิดต่อว่าท้าวสุทัศน์
เมื่อนำเอาบทพรรณนาเกี่ยวกับทะเลมาพิจารณาร่วมกับตัวละคร จะมองเห็นลักษณะที่แฝงอยู่ในตัวละคร คือความอ้างว้างว้าเหว่ การระหกระเหินเดินทางไม่สิ้นสุด พระอภัยมณีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีนี้ ชีวิตของพระอภัยมณีต้องระหกระเหินอยู่เป็นเวลานาน นับตั้งแต่ออกจากเมืองรัตนามา แล้วท่องเที่ยวร่อนเร่ตามที่ต่าง ๆ ในท้องทะเลอยู่หลายปีกว่าจะได้ไปครองเมืองผลึก ครั้นแล้วก็ต้องจากเมืองผลึกไปทำศึกที่ลังกา แม้ในตอนท้าย เมื่อบวชเป็นฤษี พระอภัยมณีจะมีชีวิตสงบสุขก็จริง แต่ถ้าดูในแง่ถิ่นฐานบ้านเรือน พระอภัยมณีก็ยังอยู่ในฐานะพลัดบ้านพลัดเมืองเหมือนคนพเนจร เพียงแต่ว่ามีอาศรมอยู่ตามวิสัยฤษี ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของ พระอภัยมณีเป็นชีวิตที่ระเหเร่ร่อนพลัดบ้านเมือง ญาติพี่น้อง ดังที่พระอภัยมณีรำพันว่า
“ โอ้ตัวเราเล่ามาค้างอยู่กลางเกาะ นี่คือเคราะห์กรรมสร้างแต่ปางหลัง
มิได้คืนนคเรศนิเวศน์วัง โอ้แสนสังเวชใจกระไรเลย
เมื่อครั้งหนีผีเสื้อเหลือลำบาก มาซ้ำจากลูกยานิจจาเอ๋ย
ทั้งเก้าปีมิได้มีความเสบย ผู้ใดเลยที่จะเป็นเหมือนเช่นเรา
แต่แสนยากแล้วมิหนำมาซ้ำแยก ทั้งเรือแตกต้องมาอยู่บนภูเขา
แสนวิโยคโศกศัลย์ไม่บรรเทา กำสรดเศร้าโศกาทุกราตรี ”
( หน้า 268 )
ประสบการณ์ที่สุนทรภู่แสดงออกในเรื่องพระอภัยมณี คือการพลัดพรากจากถิ่นฐานนั้นปรากฏให้เห็นได้จากประวัติสุนทรภู่ ทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและด้านการงาน สุนทรภู่มีชีวิตครอบครัวที่ค่อนข้างอาภัพ เริ่มด้วยการที่พ่อแม่แยกกันตั้งแต่สุนทรภู่ยังเล็ก ต่อมาชีวิตครอบครัวของตนเองก็ประสบความยุ่งยากอยู่เสมอ ในด้านการงาน ได้รุ่งเรืองอยู่เป็นระยะ ๆ สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบ้านที่อยู่ด้วยพระมหากรุณาของรัชกาลที่ 2 แต่สุนทรภู่ก็ไม่ได้พำนักพักพิงอย่างเต็มที่ กลับต้องระเหเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้รับความลำบากลำบน และเที่ยวอาศัยพักพิงอยู่ตามที่ต่าง ๆ การที่สุนทรภู่ดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ น่าจะมีอิทธิพลต่อเรื่องพระอภัยมณี โดยเฉพาะความรู้สึกขมขื่นว้าเหว่ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางอยู่เกือบตลอดเวลา
แก่นเรื่องย่อยที่เกี่ยวกับความอ้างว้างของตัวละครอันเกิดจากการพลัดบ้านเมืองนี้ เป็นแก่นเรื่องที่น่าสนใจแก่นหนึ่งในเรื่องพระอภัยมณี อันเป็นงานจินตนาการที่เปิดโอกาสให้ผู้แต่งบรรยายสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่ หรือผู้แต่งอาจบรรยายโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึก
4. ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างพ่อแม่กับลูก
ในเรื่องพระอภัยมณี มีทั้งเรื่องของความขัดแย้งระหว่างลูกชายกับพ่อ อันตรงกับทฤษีฎีเรื่องปมอีดิพัสของฟรอยด์ และความขัดแย้งระหว่างลูกชายกับแม่ ซึ่งเป็นลักษณะของความพยายามที่จะเป็นอิสระจากอิทธิพลของผู้ให้กำเนิด ความขัดแย้งดังกล่าว ได้แก่การต่อสู้ระหว่าง มังคลากับพระอภัยมณี หรือจะกล่าวกว้าง ๆ ว่าการต่อสู้ระหว่างลูกที่เป็นฝ่ายลังกากับพ่อที่เป็นฝ่ายเมืองผลึก และการต่อสู้ระหว่างสินสมุทรกับนางผีเสื้อ การต่อสู้ของมังคลา วลายุดา วายุพัฒน์ หัสกันกับแม่ของตน
ลักษณะแรกที่จะนำมากล่าวถึงก่อน คือการต่อสู้ระหว่างสินสมุทรกับนางผีเสื้อ แม้นางผีเสื้อไม่ได้ตายเพราะฝีมือสินสมุทรก็จริง แต่ถ้าพิจารณาตามเนื้อเรื่อง จะเห็นว่าสินสมุทรเป็นผู้ก่อเหตุอันทำให้นางผีเสื้อต้องตายในที่สุด ถ้าลำพังพระอภัยมณีแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะหนีนางผีเสื้อไปได้ แต่การหนีนั้นเกิดขึ้นได้เพราะ สินสมุทร และสินสมุทรได้อาศัยเรี่ยวแรงของตนซึ่งได้รับมาจากสายเลือดของแม่นั่นเองเป็นสิ่งสนับสนุนการกระทำ สินสมุทรได้รับอำนาจและกำลังที่ถ่ายทอดมาจากนางผีเสื้อ เมื่อนางผีเสื้อตายเพราะเสียงปี่ของพระอภัยมณีนั้น สินสมุทรไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แต่สินสมุทรก็ไม่ได้สนใจนางผีเสื้ออีก ตั้งแต่ได้นางสุวรรณมาลีเป็นแม่แทน
พฤติกรรมที่น่าสนใจมากอีกพฤติกรรมหนึ่ง คือ การทำศึกระหว่างมังคลา วลายุดา วายุพัฒน์ หัสกันกับบรรดาพ่อของตน พฤติกรรมนี้ตรงกับทฤษฎีเรื่องปมอีดิพัสโดยตรง มังคลานั้นมีชีวิตตอนต้นคล้ายกับ สุดสาคร คือไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อจนโต ไม่ปรากฏข้อความตอนใดระบุว่ามังคลาได้พบพระอภัยมณีเลยจนตลอดเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองจึงเรียกได้ว่า ห่างเหินมาก วายุพัฒน์ หัสกันนั้นเมื่อมาพบสุดสาครกลางสนามรบ ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอาและเป็นพ่อของตน ครั้นเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้จักกันแล้ว ยังไม่ยอมผ่อนปรนให้แก่กัน ในเหตุการณ์ตอนนี้สุดสาครได้เห็นหน้าลูกและหลานในตอนแรกก็ใจอ่อน แต่แล้วได้นึกว่าลูกทำความผิดมาก ดังที่สุดสาครกล่าวว่า
“ แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำซื้อรู้ จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ์ ชื่อว่าอกตัญญูชาติงูพิษ
เหมือนพวกมึงซึ่งไม่รู้จักกูนี้ ดังทรพีวัดรอยจะคอยขวิด
ถึงเหล่ากอหน่อเนื้อที่เชื้อชิด เหมือนโลหิตที่ในกายเกิดร้ายแรง ”
( หน้า 1163 )
เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงสาเหตุของศึกครั้งนี้ จะพบว่าเรื่มจากการที่สังฆราชบอกให้นางละเวงวัณฬาขอโคตรเพชรคืนจากเมืองการะเวก แต่นางละเวงเกรงใจท้าวสุริโยไทยและเสาวคนธ์ จึงไม่ทำตาม สังฆราชจึงเล่าเรื่องเดิมทั้งหมดให้มังคลาทราบ เป็นเหตุให้มังคลาเริ่มวางแผนการทำศึก และต่อมาเมื่อศึกเกิดขึ้นแล้ว นางละเวงจึงต่อว่าสังฆราชว่าเป็นคนยุให้มังคลาคิดการครั้งนี้ แต่ถ้าพิจารณาแล้ว จะเห็นว่าสังฆราชไม่ได้เป็นต้นเหตุอย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงจุดชนวนให้ความน้อยใจโกรธเคืองของมังคลาปรากฏออกมาเท่านั้นเอง ความเจ็บใจที่แท้จริงของมังคลาและพี่น้องคือการที่พ่อไม่เหลียวแล มังคลาจึงก่อความวุ่นวายขึ้น ที่จริงมังคลาก็ไม่ได้คิดจะทำการรุนแรงอะไรนัก เพียงแต่ไปจับเอาท้าวทศวงศ์และมเหสีกับนางสุวรรณมาลีและธิดาแฝดมากักไว้เท่านั้น
ลักษณะที่ขัดแย้งกันในเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อนี้ มีอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก สุนทรภู่แสดงทั้งความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม รักใคร่ห่วงใยกันอย่างลึกซึ้ง ดังในกรณีของสินสมุทรและสุดสาครกับพระอภัยมณี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกบางคู่ที่ไม่เป็นไปดังนั้น หากแต่เหินห่าง ไม่เข้าใจกัน ดังในกรณีของพระอภัยมณีกับท้าวสุทัศน์และพระอภัยมณีกับมังคลา เป็นต้น เมื่อพิจารณาความขัดแย้งเหล่านี้แล้ว อาจจะเป็นข้อสังเกตว่าสุนทรภู่นั้นมีทั้งความรักและความเกลียดในตัวพ่ออยู่พร้อมกัน แต่ความเกลียดนั้นไม่ถึงขั้นรุนแรง เพียงแต่เป็นความน้อยใจหรือความเหินห่างกับพ่อเท่านั้น
ไม่มีความเห็น