“บรรดาผู้ศรัทธา และจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ”( อัรเราะอฺดุ 28 )
ความว่า : “ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้”( อันนะฮฺลุ 97 )
ความว่า : “และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพของคนตาบอด เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่า ทั้งๆที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น พระองค์ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน : เช่นนั้นแหละ เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม” ( ฏอฮา 124-126 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงศาสนาที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมทุกกฎระเบียบช่วยพัฒนาสังคมและบุคคล ทั้งโลกนี้และโลกหน้า พวกเขาย่อมจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ :
ความว่า : “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว” ( อัลมาอิดะฮฺ 3 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงศาสนาที่ถูกต้อง ที่สมควรแก่การนับถือ และยึดเป็นหนทางหนึ่งเพื่อไปสู่พระเจ้าและสวนสวรรค์ของพระองค์ พวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”( อัลอิมรอน 85 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงลักษณะความสัมพันธ์ระว่างเขากับคนอื่นๆ จากพี่น้องมนุษย์ด้วยกัน พวกเขาย่อมจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า”( อัลฮุจญ์รอต 13 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงจุดยืนของเขาต่อวิชาความรู้ พวกเขาย่อมจะพบคำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“อัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทิดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”( อัลมุญาดะละฮฺ 11 )
* ถ้ามนุษย์ได้สอบถามถึงจุดจบของเขาในชีวิตนี้ แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“แต่ละชีวิตนั้น จะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น คือวันปรโลก แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น” ( อาละอิมรอน 185 )
*ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นชีพอีกครั้งหลังความตาย และถึงกระนั้นแล้วพวกเขาจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“และเขาได้ยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบแก่เรา และเขาได้ลืมต้นกำเนิดของเขา เขากล่าวว่า “ใครเล่าจะให้กระดูกมีชีวิตขึ้นมาอีกในเมื่อมันเป็นผุยผงไปแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พระผู้ทรงให้กำเนิดมันครั้งแรกนั้น ย่อมจะทรงให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีก และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้การบังเกิดทุกสิ่ง ผู้ทรงทำให้มีไฟสำหรับพวกเจ้าจากต้นไม้เขียวสด (แล้วจงดูซิ) พวกเจ้าก็ได้จุดมันจากเชื้อไฟนั้น พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน จะไม่ทรงสามารถที่จะสร้างเช่นเดียวกับพวกเขากระนั้นหรือ ? แน่นอน และพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงรอบรู้ แท้จริงพระบัญชาของพระองค์ เมื่อทรงประสงค์สิ่งใด พระองค์ก็จะตรัสแก่มันว่า “จงเป็น” แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา” ( ยาซีน 78-82 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงการงานที่ได้รับการยอมรับจากอัลลอฮฺเจ้าในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า : “แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีสำหรับพวกเขานั้นคือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาสฺ เป็นที่พำนัก” ( อัลกะฮฺฟุ 107 )
* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงความเป็นอยู่หลังการฟื้นคืนชีพ แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบที่บ่งบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คงที่เด็ดขาด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะมันคือสองทางเท่านั้นไม่มีสาม สวรรค์หรือนรกเท่านั้น อัลลอฮฺตรัส ความว่า :
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่อะฮฺลุลกิตาบและบูชาเจว็ดนั้นจะอยู่ในนรกญะฮันนัม พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นมนุษย์ที่ชั่วช้ายิ่ง แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย ชนเหล่านั้น พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ดียิ่ง การตอบแทนของพวกเขา ณ ที่พระเจ้าของพวกเขาคือสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺทรงปิติต่อพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีในพระองค์ นั่นคือสำหรับผู้ที่กลัวเกรงพระเจ้าของพวกเขา( อัลบัยยินะฮฺ 6-8 )
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ...
ข้าพเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า อิสลามย่อมมีทางออกทีดีสำหรับทุกปัญหาที่เราพบเห็นในโลกทุกวันนี้ การยึดเอาอิสลามแล้วนำมาปฏิบัติเพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวกำจัดปัญหาเหล่านั้น แท้จริงแล้วโลกได้ทดลองทุกระบบที่เคยมีมา ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าระบบเหล่านั้นไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ - ถึงแม้ว่าในบางครั้งบางระบบอาจแก้ปัญหาในบางเรื่อง - ทำไมเล่าโลกนี้ไม่ยอมรับอิสลามมาปฏิบัติ ?
เอฟ ฟิลเวียส( F . Filweas )- นายพลเรือเชื้อสายอังกฤษ ผู้เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งทีหนึ่งและสอง ผู้ซึ่งเติบโตในสังคมคริสต์และเคยชินในวัฒนธรรมชาวคริสต์ แต่ท่านได้เข้ารับอิสลามหลังจากที่ได้ศึกษาอัลกุรอ่านและหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ปีค.ศ 1923- ( ดูหนังสือ กอลู อะนิล อิสลาม ดร. อิมาดุดดีน อัล คอลีล ) - ได้กล่าวว่า แท้จริงได้มีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์หลายๆเล่มช่วงระยะหลังๆนี้ ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่านักปรัชญาและนักเขียนชาวยุโรปได้อ้างว่า ทุกศาสนาในสมัยนี้ได้สูญหายและถูกทอดทิ้งไปแล้ว จำจะต้องละทิ้งเสีย บ่งบอกถึงอาการท้อใจอย่างแรงของบรรดานักเขียนเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากอุปสรรคต่างๆ ที่เขาพบเห็น ความยุ่งยากและความไม่ชัดเจนในหลักคำสอนของศานาคริสต์นั้นเอง แต่พวกเขาได้กระทำความผิด ดังนั้นอิสลามเท่านั้นคือคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังคงอยู่ พร้อมที่จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับอุปสรรคดังกล่าว .
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ....
คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนักถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวว่า มีมุสลิมจำนวนมากในยุคนี้ที่ยังห่างไกลจากการปฏิบัติตามหลักการอิสลามที่ถูกต้อง เพราะสิ่งต่างๆที่มุสลิมได้ปฏิบัติในสังคมทุกวันนี้มันช่างห่างไกลจากหลักการอิสลามเหลือเกิน ไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่อิสลามต้องการ อิสลามไม่ได้เป็นเพียงแค่พิธีทางศาสนาที่ควรปฏิบัติเฉพาะบางเวลาแล้วก็จบตามที่บางคนเข้าใจ แต่อิสลามคือการเชื่อมั่น ระเบียบ หลักอิบาดะฮฺ (หลักการภักดี) ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาและเป็นประเทศชาติอย่างเต็มความหมาย ได้มีการกล่าวกันว่า มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินถ้าศาสนานั้นมีผู้คนเลื่อมใสมากมายคอยดำเนินตามรอยศาสนา และปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของมัน ละทิ้งการกระทำใดๆที่ศาสนาห้าม และได้ทำการเผยแผ่ศาสนานี้ให้กับชาวโลกตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า”( อันนะฮฺลุ 125 )
เจ เอส เรสต์เลอร์ ( J . S . Restler ) ได้กล่าวในบทนำของหนังสือเล่มหนึ่งของเขาที่ชื่อ อารยธรรมชาวอาหรับ “ คำว่า อิสลาม สามารถที่จะตีความความหมายได้ในสามแง่ด้วยกัน ความหมายที่หนึ่ง คือ ศาสนาหรือความเชื่อมั่น ความหมายที่สองคือ ประเทศชาติ สามคือ ความรู้และวัฒนธรรม ซึ่งกล่าวโดยสรุป อิสลามคือความรู้และวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียว”
แท้จริงหลักการศรัทธา หลักการภักดี หลักการปฏิบัติ และคำสั่งสอนทั่วไปในศาสนาอิสลาม ตั้งแต่ยุคของท่านศาสนทูตอัลลอฮฺมุฮัมมัด -ขอความสันติจงมีเเด่ท่าน-จนถึงบัดนี้ก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนมองภาพศาสนาอิสลามเปลี่ยนไปคือ คนที่อ้างตนว่าเป็น”มุสลิม”นั่นเอง จึงอยากให้เข้าใจว่า เรื่องผิดๆที่เกิดขึ้นมานั้น สืบเนื่องจากฝีมือของคนที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม ไม่ได้หมายความว่า :อิสลามสั่งให้ทำหรือยอมรับการกระทำดังกล่าว เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้ สมมุติว่า เรามอบเครื่องมืออะไรบางอย่างที่เพิ่งผลิตมาจากโรงงานและยังไม่ได้ประกอบให้กับคนๆหนึ่ง โดยมีคู่มือบอกวิธีและขั้นตอนในการประกอบไว้ให้ ถ้าเจ้าของประกอบเครื่องมือที่ให้ไม่ตรงกับคำชี้แจงในคู่มือ เราจะบอกว่าข้อมูลที่ให้มาในคู่มือผิดกระนั้นหรือ ? คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องคงไม่พ้นจากสามกรณีต่อไปนี้
๑- เจ้าของไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่มีในคู่มืออย่างถูกต้อง
๒- หรือไม่ เขาก็ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนในคู่มืออย่างสมบูรณ์แบบ คือปฏิบัติตามไม่ครบขั้นตอน
๓- หรือ เขาไม่เข้าใจขั้นตอนที่ได้ชี้แจงในหนังสือคู่มือ ในกรณีนี้เขาควรกลับไปหาบริษัทผู้ผลิตเพื่อขอคำชี้แจงให้ชัดเจน
อิสลามก็เช่นกัน ใครที่ต้องการรับรู้เละเข้าใจอิสลามอย่างแท้จริง ก็ต้องกลับไปสู่แหล่งที่มาของอิสลามอย่างถูกต้อง เนื่องจากความรู้ด้านศาสนาต้องเอาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น คนป่วยก็ต้องไปหาหมอ ใครต้องการสร้างบ้านก็ต้องไปหาวิศวกร เป็นต้น จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องต้องกลับไปหาผู้เชี่ยวชาญของมันเป็นการเฉพาะ
จุดประสงค์ของข้าพเจ้าในหนังสือเล่มนี้คือต้องการจะบอกกล่าวไปยังผู้อ่านว่า อย่าเอาความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนตัวมาเกี่ยวข้องในเรื่องศาสนา ข้าพเจ้าหวังให้ทุกท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยจุดประสงค์ของผู้ซึ่งต้องการแสวงหาความสัจธรรม มิใช่เพื่อสืบหาความผิดพลาดหรือข้อบกพร่อง ขอให้ท่านเป็นผู้อ่านที่พิจารณาข้อความต่างๆเหล่านี้ด้วยสติปัญญา มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของตัวเอง มิฉะนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงตําหนิในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :
“และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาเถิดพวกเขาก็กล่าวว่า มิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งที่เราได้เห็นบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้น และแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ”( อัลบะเกาะเราะฮฺ 170 )
เพราะคนที่อาศัยอยู่ในความเจริญและในสังคมที่ได้รับการพัฒนา มีเเนวคิดที่อยู่บนฐานเเห่งตรรกวิทยาเเละสติปัญญา คือคนที่ไม่ตัดสินใจอย่างรีบร้อนโดยไม่ใช้สติปัญญา คนที่ไม่ยอมรับบางเรื่องเพราะขาดการเรียนรู้หรือเพราะไม่รู้จริงเขาจะตอบรับและยอมรับทันทีเมื่อเขาได้รับรู้และพึงพอใจ และเเน่นอนสิ่งนี้จะไม่เพียงเเต่เป็นประโยชน์เฉพาะเขาคนเดียวเท่านั้น เพราะเขามีหน้าที่ที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้อื่นต่อไปด้วย ดังนั้นคนในสังคมต้องได้รับประโยชน์ไปด้วย ฉะนั้นนี่คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้มีความรู้ที่จะต้องสอนผู้ที่ขาดความรู้ หรือช่วยแนะนำข้อ ปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เขากระทำผิด
ข้าพเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า สิ่งที่จะเสนอต่อไปนี้ได้ครอบคลุมสิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว แต่กระนั้นหนังสือเล่มนี้ก็มิใช่หนังสือที่สมบูรณ์แบบอันเนื่องมาจากข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวถึง “ศาสนาอิสลาม” ทั้งหมดได้ในหนังสือเพียงเล่มเดียวเพราะอิสลามคือระบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในด้านศาสนาและทางโลก การที่จะพูดถึงเรื่องราวทั้งหมดนั้น คงต้องทำหนังสือออกมาอีกหลายเล่มจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ฉะนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีเพียงแค่การชี้แนะในบางประเด็นด้านหลักการและมารยาทหลักๆในอิสลาม ซึ่งพอที่จะเป็นกุญแจสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ในศาสนาอิสลามได้.
บางคนอาจจะข้องใจว่า กฎระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ใช้ในการพัฒนาสังคมก็คล้ายๆกันกับกฎระเบียบที่อิสลามนำมามิใช่หรือ? เช่นนี้แล้วเราต้องพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่มาก่อนระหว่างอิสลามกับกฎระเบียบดังกล่าว ? และแน่นอนบทบัญญัติอิสลามย่อมมาก่อน จะเห็นได้ว่าอิสลามมีกฎเกณฑ์ที่ได้ปฏิบัติกันมาเนิ่นนานมากกว่า 15 ศตวรรษ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่มาหลังอิสลามซึ่งอาจคล้ายหรือเหมือนกับที่อิสลามก็ถือว่าเป็นการอ้างอิงมาจากศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ายุคเเรกๆที่อิสลามเข้ามา ได้มีบุคคลต่างศาสนิกเข้ามาศึกษาอิสลามและสนใจอิสลามเป็นพิเศษ เช่นนักบูรพาคดี ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีจุดประสงค์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม.
ไม่มีความเห็น