บทนําเเด่ผู้สนใจอิสลาม 2


อิสลาม ความเป็นมาของมนุษย์

 

  • ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงหนทางแห่งความสงบสุข  ทั้งจิตใจและกายแน่นอนคำตอบก็คือ  โองการอัลลอฮฺ    ความว่า :

 “บรรดาผู้ศรัทธา และจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ”( อัรเราะอฺดุ 28 )

  • ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงหนทางที่นำมาซึ่งความจำเริญ ความสำเร็จ  และความเป็นอยู่ที่ดีในโลกนี้แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ

ความว่า :  “ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้”( อันนะฮฺลุ 97 )

  • ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงผลตอบแทนของคนที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา  แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ :

ความว่า :  “และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพของคนตาบอด    เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่า ทั้งๆที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น   พระองค์ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอาน : เช่นนั้นแหละ เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม”  ( ฏอฮา 124-126 )

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงศาสนาที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมทุกกฎระเบียบช่วยพัฒนาสังคมและบุคคล  ทั้งโลกนี้และโลกหน้า  พวกเขาย่อมจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ :

ความว่า :  “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว” ( อัลมาอิดะฮฺ 3 )

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงศาสนาที่ถูกต้อง   ที่สมควรแก่การนับถือ และยึดเป็นหนทางหนึ่งเพื่อไปสู่พระเจ้าและสวนสวรรค์ของพระองค์ พวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ    ความว่า :

 “และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”( อัลอิมรอน 85 )   

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงลักษณะความสัมพันธ์ระว่างเขากับคนอื่นๆ จากพี่น้องมนุษย์ด้วยกัน  พวกเขาย่อมจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :

  “โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน  แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า”( อัลฮุจญ์รอต 13 )

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงจุดยืนของเขาต่อวิชาความรู้  พวกเขาย่อมจะพบคำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า : 

“อัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทิดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”( อัลมุญาดะละฮฺ 11 )

* ถ้ามนุษย์ได้สอบถามถึงจุดจบของเขาในชีวิตนี้  แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า : 

 “แต่ละชีวิตนั้น จะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น คือวันปรโลก แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น” ( อาละอิมรอน 185 )

*ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นชีพอีกครั้งหลังความตาย  และถึงกระนั้นแล้วพวกเขาจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  พวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :

 “และเขาได้ยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบแก่เรา และเขาได้ลืมต้นกำเนิดของเขา เขากล่าวว่า “ใครเล่าจะให้กระดูกมีชีวิตขึ้นมาอีกในเมื่อมันเป็นผุยผงไปแล้ว   จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พระผู้ทรงให้กำเนิดมันครั้งแรกนั้น ย่อมจะทรงให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีก และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้การบังเกิดทุกสิ่ง   ผู้ทรงทำให้มีไฟสำหรับพวกเจ้าจากต้นไม้เขียวสด (แล้วจงดูซิ) พวกเจ้าก็ได้จุดมันจากเชื้อไฟนั้น   พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน จะไม่ทรงสามารถที่จะสร้างเช่นเดียวกับพวกเขากระนั้นหรือ ? แน่นอน และพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงรอบรู้  แท้จริงพระบัญชาของพระองค์ เมื่อทรงประสงค์สิ่งใด พระองค์ก็จะตรัสแก่มันว่า “จงเป็น” แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา” ( ยาซีน 78-82 )

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงการงานที่ได้รับการยอมรับจากอัลลอฮฺเจ้าในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ  แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :  “แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีสำหรับพวกเขานั้นคือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาสฺ เป็นที่พำนัก” ( อัลกะฮฺฟุ 107 )

* ถ้ามนุษย์ได้ถามถึงความเป็นอยู่หลังการฟื้นคืนชีพ  แน่นอนพวกเขาจะได้คำตอบที่บ่งบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่คงที่เด็ดขาด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง    เพราะมันคือสองทางเท่านั้นไม่มีสาม   สวรรค์หรือนรกเท่านั้น  อัลลอฮฺตรัส  ความว่า :

 แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่อะฮฺลุลกิตาบและบูชาเจว็ดนั้นจะอยู่ในนรกญะฮันนัม พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นมนุษย์ที่ชั่วช้ายิ่ง  แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย ชนเหล่านั้น พวกเขาเป็นมนุษย์ที่ดียิ่ง   การตอบแทนของพวกเขา ณ ที่พระเจ้าของพวกเขาคือสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล อัลลอฮฺทรงปิติต่อพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีในพระองค์ นั่นคือสำหรับผู้ที่กลัวเกรงพระเจ้าของพวกเขา( อัลบัยยินะฮฺ 6-8 )

 

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ... 

ข้าพเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า อิสลามย่อมมีทางออกทีดีสำหรับทุกปัญหาที่เราพบเห็นในโลกทุกวันนี้   การยึดเอาอิสลามแล้วนำมาปฏิบัติเพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวกำจัดปัญหาเหล่านั้น   แท้จริงแล้วโลกได้ทดลองทุกระบบที่เคยมีมา ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าระบบเหล่านั้นไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้  - ถึงแม้ว่าในบางครั้งบางระบบอาจแก้ปัญหาในบางเรื่อง -   ทำไมเล่าโลกนี้ไม่ยอมรับอิสลามมาปฏิบัติ ? 

    เอฟ ฟิลเวียส( F . Filweas )- นายพลเรือเชื้อสายอังกฤษ   ผู้เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งทีหนึ่งและสอง   ผู้ซึ่งเติบโตในสังคมคริสต์และเคยชินในวัฒนธรรมชาวคริสต์   แต่ท่านได้เข้ารับอิสลามหลังจากที่ได้ศึกษาอัลกุรอ่านและหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม   ปีค.ศ  1923-  ( ดูหนังสือ  กอลู อะนิล อิสลาม  ดร. อิมาดุดดีน อัล คอลีล )  - ได้กล่าวว่า แท้จริงได้มีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์หลายๆเล่มช่วงระยะหลังๆนี้ ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่านักปรัชญาและนักเขียนชาวยุโรปได้อ้างว่า ทุกศาสนาในสมัยนี้ได้สูญหายและถูกทอดทิ้งไปแล้ว จำจะต้องละทิ้งเสีย   บ่งบอกถึงอาการท้อใจอย่างแรงของบรรดานักเขียนเหล่านั้น  สืบเนื่องมาจากอุปสรรคต่างๆ ที่เขาพบเห็น  ความยุ่งยากและความไม่ชัดเจนในหลักคำสอนของศานาคริสต์นั้นเอง    แต่พวกเขาได้กระทำความผิด   ดังนั้นอิสลามเท่านั้นคือคำตอบที่ดีที่สุด  ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังคงอยู่  พร้อมที่จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับอุปสรรคดังกล่าว .

 

ท่านผู้อ่านที่เคารพ  .... 

คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนักถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวว่า  มีมุสลิมจำนวนมากในยุคนี้ที่ยังห่างไกลจากการปฏิบัติตามหลักการอิสลามที่ถูกต้อง   เพราะสิ่งต่างๆที่มุสลิมได้ปฏิบัติในสังคมทุกวันนี้มันช่างห่างไกลจากหลักการอิสลามเหลือเกิน   ไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่อิสลามต้องการ     อิสลามไม่ได้เป็นเพียงแค่พิธีทางศาสนาที่ควรปฏิบัติเฉพาะบางเวลาแล้วก็จบตามที่บางคนเข้าใจ  แต่อิสลามคือการเชื่อมั่น  ระเบียบ   หลักอิบาดะฮฺ (หลักการภักดี)    ดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาและเป็นประเทศชาติอย่างเต็มความหมาย  ได้มีการกล่าวกันว่า   มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินถ้าศาสนานั้นมีผู้คนเลื่อมใสมากมายคอยดำเนินตามรอยศาสนา และปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของมัน    ละทิ้งการกระทำใดๆที่ศาสนาห้าม     และได้ทำการเผยแผ่ศาสนานี้ให้กับชาวโลกตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าในโองการอัลลอฮฺ ความว่า :

  “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า”( อันนะฮฺลุ 125 )

 เจ เอส เรสต์เลอร์ ( J . S . Restler )  ได้กล่าวในบทนำของหนังสือเล่มหนึ่งของเขาที่ชื่อ   อารยธรรมชาวอาหรับ  “ คำว่า อิสลาม สามารถที่จะตีความความหมายได้ในสามแง่ด้วยกัน   ความหมายที่หนึ่ง  คือ ศาสนาหรือความเชื่อมั่น    ความหมายที่สองคือ  ประเทศชาติ   สามคือ  ความรู้และวัฒนธรรม    ซึ่งกล่าวโดยสรุป อิสลามคือความรู้และวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียว”

แท้จริงหลักการศรัทธา   หลักการภักดี  หลักการปฏิบัติ  และคำสั่งสอนทั่วไปในศาสนาอิสลาม  ตั้งแต่ยุคของท่านศาสนทูตอัลลอฮฺมุฮัมมัด -ขอความสันติจงมีเเด่ท่าน-จนถึงบัดนี้ก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ  แต่ปัจจัยที่ทำให้ใครหลายคนมองภาพศาสนาอิสลามเปลี่ยนไปคือ คนที่อ้างตนว่าเป็น”มุสลิม”นั่นเอง   จึงอยากให้เข้าใจว่า เรื่องผิดๆที่เกิดขึ้นมานั้น  สืบเนื่องจากฝีมือของคนที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม   ไม่ได้หมายความว่า :อิสลามสั่งให้ทำหรือยอมรับการกระทำดังกล่าว  เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อความชัดเจนในเรื่องนี้   สมมุติว่า เรามอบเครื่องมืออะไรบางอย่างที่เพิ่งผลิตมาจากโรงงานและยังไม่ได้ประกอบให้กับคนๆหนึ่ง   โดยมีคู่มือบอกวิธีและขั้นตอนในการประกอบไว้ให้  ถ้าเจ้าของประกอบเครื่องมือที่ให้ไม่ตรงกับคำชี้แจงในคู่มือ   เราจะบอกว่าข้อมูลที่ให้มาในคู่มือผิดกระนั้นหรือ ? คงเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นเรื่องคงไม่พ้นจากสามกรณีต่อไปนี้

๑-      เจ้าของไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่มีในคู่มืออย่างถูกต้อง

๒-     หรือไม่  เขาก็ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนในคู่มืออย่างสมบูรณ์แบบ  คือปฏิบัติตามไม่ครบขั้นตอน

๓-     หรือ เขาไม่เข้าใจขั้นตอนที่ได้ชี้แจงในหนังสือคู่มือ  ในกรณีนี้เขาควรกลับไปหาบริษัทผู้ผลิตเพื่อขอคำชี้แจงให้ชัดเจน  

อิสลามก็เช่นกัน  ใครที่ต้องการรับรู้เละเข้าใจอิสลามอย่างแท้จริง ก็ต้องกลับไปสู่แหล่งที่มาของอิสลามอย่างถูกต้อง   เนื่องจากความรู้ด้านศาสนาต้องเอาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ    ตัวอย่างเช่น  คนป่วยก็ต้องไปหาหมอ    ใครต้องการสร้างบ้านก็ต้องไปหาวิศวกร    เป็นต้น  จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องต้องกลับไปหาผู้เชี่ยวชาญของมันเป็นการเฉพาะ  

จุดประสงค์ของข้าพเจ้าในหนังสือเล่มนี้คือต้องการจะบอกกล่าวไปยังผู้อ่านว่า   อย่าเอาความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนตัวมาเกี่ยวข้องในเรื่องศาสนา   ข้าพเจ้าหวังให้ทุกท่านอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยจุดประสงค์ของผู้ซึ่งต้องการแสวงหาความสัจธรรม    มิใช่เพื่อสืบหาความผิดพลาดหรือข้อบกพร่อง    ขอให้ท่านเป็นผู้อ่านที่พิจารณาข้อความต่างๆเหล่านี้ด้วยสติปัญญา  มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของตัวเอง    มิฉะนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงตําหนิในโองการอัลลอฮฺ   ความว่า :

“และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาเถิดพวกเขาก็กล่าวว่า มิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งที่เราได้เห็นบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้น และแม้ได้ปรากฏว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ”( อัลบะเกาะเราะฮฺ 170 )

เพราะคนที่อาศัยอยู่ในความเจริญและในสังคมที่ได้รับการพัฒนา   มีเเนวคิดที่อยู่บนฐานเเห่งตรรกวิทยาเเละสติปัญญา คือคนที่ไม่ตัดสินใจอย่างรีบร้อนโดยไม่ใช้สติปัญญา  คนที่ไม่ยอมรับบางเรื่องเพราะขาดการเรียนรู้หรือเพราะไม่รู้จริงเขาจะตอบรับและยอมรับทันทีเมื่อเขาได้รับรู้และพึงพอใจ   และเเน่นอนสิ่งนี้จะไม่เพียงเเต่เป็นประโยชน์เฉพาะเขาคนเดียวเท่านั้น เพราะเขามีหน้าที่ที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้อื่นต่อไปด้วย ดังนั้นคนในสังคมต้องได้รับประโยชน์ไปด้วย   ฉะนั้นนี่คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้มีความรู้ที่จะต้องสอนผู้ที่ขาดความรู้ หรือช่วยแนะนำข้อ ปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เขากระทำผิด   

ข้าพเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า  สิ่งที่จะเสนอต่อไปนี้ได้ครอบคลุมสิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว  แต่กระนั้นหนังสือเล่มนี้ก็มิใช่หนังสือที่สมบูรณ์แบบอันเนื่องมาจากข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวถึง “ศาสนาอิสลาม” ทั้งหมดได้ในหนังสือเพียงเล่มเดียวเพราะอิสลามคือระบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในด้านศาสนาและทางโลก  การที่จะพูดถึงเรื่องราวทั้งหมดนั้น คงต้องทำหนังสือออกมาอีกหลายเล่มจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว  ฉะนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีเพียงแค่การชี้แนะในบางประเด็นด้านหลักการและมารยาทหลักๆในอิสลาม ซึ่งพอที่จะเป็นกุญแจสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ในศาสนาอิสลามได้.

บางคนอาจจะข้องใจว่า  กฎระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ใช้ในการพัฒนาสังคมก็คล้ายๆกันกับกฎระเบียบที่อิสลามนำมามิใช่หรือ? เช่นนี้แล้วเราต้องพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่มาก่อนระหว่างอิสลามกับกฎระเบียบดังกล่าว ? และแน่นอนบทบัญญัติอิสลามย่อมมาก่อน จะเห็นได้ว่าอิสลามมีกฎเกณฑ์ที่ได้ปฏิบัติกันมาเนิ่นนานมากกว่า 15 ศตวรรษ  ฉะนั้นอะไรก็ตามที่มาหลังอิสลามซึ่งอาจคล้ายหรือเหมือนกับที่อิสลามก็ถือว่าเป็นการอ้างอิงมาจากศาสนาอิสลาม   ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ายุคเเรกๆที่อิสลามเข้ามา ได้มีบุคคลต่างศาสนิกเข้ามาศึกษาอิสลามและสนใจอิสลามเป็นพิเศษ เช่นนักบูรพาคดี    ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีจุดประสงค์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม.

หมายเลขบันทึก: 336159เขียนเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2010 12:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 12:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท