ก่องข้าวน้อย...ฆ่าแม่


รักใดเล่า...จะแน่แท้ เท่าแม่รัก

ที่มา  http://www.everykid.com/nitan2/kong_khao/index.html

 

... ก่องข้าวน้อย  ฆ่าแม่ ...

   

 ตำนานพื้นบ้าน อ. ตาดทอง  จ. ยโสธร

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ในฤดูฝนมีการเตรียมปักดำกล้าข้าวทุกครอบครัวจะออกไปไถนา การเพาะปลูก  ครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำพร้าพ่อ 

ไม่ปรากฏชื่อหลักฐาน ก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน 

 

 

  วันหนึ่งเขาไถนาอยู่นานจนสาย  ตะวันขึ้นสูงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน  ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งก่องข้าวให้ทุกวัน

แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติ 

 

เขาจึงหยุดไถนาเข้าพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้าสายตาเหม่อมองไปทางบ้าน  รอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวตามเวลาที่ควรจะมา  ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อนความหิวกระหายยิ่งทวีคูณขึ้น 

 

ทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนาพร้อมก่องข้าวน้อยๆ  ห้อยต่องแต่งอยู่บนเสาแหรกคาน  เขารู้สึกไม่พอใจที่  แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก  ด้วยความหิวกระหายจน   ตาลาย  อารมณ์พลุ่งพล่าน  เขาคิดว่าข้าวในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่  จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า  

 

"อีแก่ มึงไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก
ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ?"
 

 

ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า

 "ถึงก่องข้าวจะน้อยก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย       ลองกินเบิ่งก่อน" 

 

ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโห หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆ เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า คว้าได้ไม้แอกน้อยเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดกล่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี  รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่ 

 

  อนิจจา แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว.. 

 

ชายหนุ่มร้องไห้โฮ.. สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์เพียงชั้ววูบ  ไม่รู้จะทำประการใดดี  จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด   

 

  สมภารสอนว่า "การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง"

 

เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า "ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่" จนตราบทุกวันนี้ 

 

ทุกวันนี้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวันเพื่อขอขมาลาโทษเหมือนเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ บางคนเมื่อมีลูกแล้วถึงรู้ว่าบุญคุณแม่มากสุดเหลือคณานับ เพิ่งรู้ว่าเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาขนาดไหน จึงมาสำนึกที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่ 

 

คติ:

ทำดีกับพ่อแม่ยามเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่

ดีกว่าสำนึกได้เมื่อท่านจากไป 

  

หมายเลขบันทึก: 336154เขียนเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2010 12:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 11:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อ่านแล้วไดข้อคิดดีๆ

มากมาย

ขอบคุณสำหรับความรู้นะคะ

ว่างๆเดี๋ยวแวะมาทักทายอาจารย์นะคะ

สมัยนี้ มีขอเงินซื้อเหล้าไม่ได้ แล้วก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ นะคะ กรรมจริงๆ

รักพ่อ รักแม่ ...

เหมือนดังที่ พ่อ แม่ รักเรา...นะคะ

 

เรื่องมันเศร้าจัง คำว่า โมโหหิว ไม่เข้าใครออกใคร สอดคล้องกับคำว่ากองทัพเดินด้วยท้องนะคะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่าน

เรื่องนี้น่าเศร้าใจมากค่ะ

จะเก็บไว้เป็นข้อคิดนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ตอบแทนพระคุณ  พ่อแม่

 

ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

 

 

ขอบคุณนิทานสอนใจ

ความหิวทำให้เกิดทุกข์ค่ะ

อิ่มมากไปก็เกิดทุกข์

ขอบคุณค่ะ

ความกตัญญู  เป็นเครื่องหมาย ของคนดี

 

ขอบคุณทุกท่าน  ที่เป็นกำลังใจ  ค่ะ

ติดตามนิทานพื้นบ้านเรื่องต่อไปนะคะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท