ซูนามิ 47 - น้ำท่วม 54


ซูนามิ 47 น้ำท่วม 54

                                             ซูนามิ

4 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราเริ่มเลือนลางหรือลืมเหตุ การร้ายของภัยพิบัติธรรมชาติ ของซูนามิ หลายคนที่ไม่ได้ประสบเหตุการณ์ ด้วยตัวเอง หรือไม่ได้เป็นผู้สูญเสีย ในเหตุการวันที่ 26 ธันวาคม 2547 อาจจะลืมเลือนฝันร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุค ปัจจุบันมาก่อนของประเทศไทย ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย พลัดพราก เสียงร้องไห้ระงม คนทั้งประเทศต้องตกตลึง สะกดให้ทุกคนต้องอยุดอยู่หน้าจอทีวี เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสาร ของเหตการณ์กันอย่้างใกล้ชิด

                 วันนั้น 26 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนมีภาระกิจไปปฏิบัติงานร่วมสอบปากคำคดีเด็กที่สถานีตำรวจนครบาล... และในขณะที่สอบปากคำเด็กอยู่ร่วม กับพนักงานสอบสวนอัยการและทนายความและมีการบันทึกเทปวีดีโอขณะสอบสวน โดยได้เิปิดโทรศัพท์ระบบสั่นไว้และประมาณ 10 นาฬิกา โทรศัพท์ได้มีสายเรียกเข้าตลอดเวลา แต่ผู้เขียนไม่ได้รับเพราะตั้งใจว่าสอบปากคำเด็กเสร็จ จึงจะติดต่อกลับ โทรศัพท์ ก็ยังสั่นต่อเนื่องอยู่ตลอด จนกระทั้ง เวลาประมาณ 10.30 น. หลังสอบสวนเสร็จจึงเดินไปที่รถเพื่อเดินทางกลับโดยตั้งใจจะรับสาย ขณะขับรถกลับจะได้ไม่เสียเวลา และเมื่อรับก็เป็นเสียงของน้องสาว โทรมาจากจังหวัดภูเก็ต พูดจาระล้ำระลักสลับกับเสียงร้องไห้ตกใจและก่นว่า ว่าทำไมไม่รีบรับสาย ตอนนี้ไม่มีบ้านแล้วน้ำซัดเข้าฝั่งที่หมู่บ้านน้ำเค็ม ไม่มีใครติดต่อไดเลย น่าจะหายไปแล้วทั้งหมู่บ้าน ผู้เขียนไม่ได้ตกใจอะไรมากคาดว่าคงพายุเข้าน้ำท่วม ธรรมดา เลยพูดปลอบใจว่าใจเย็นลองโทรหาคนโน้นคนนี้ที่อยู่หมู่บ้านเดียวกับเราดูก่อน อย่าเพิ่งตกใจมาก และผู้ก็ลองเปิดวิทยุในรถฟังดูและหาคลื่นไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอข่าวอะไรเลยมีแต่รายการทั่ว ๆ ไปจากนั้นผู้เขียนจึงกลับไปที่ทำงานบริเวณแยกตึกชัย และได้ติดต่อกับเพื่อน อ้วน เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกว่า จะมารับและเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านโดยทันที ขณะนั้นจึงได้จจัดเตรียมเสื้อผ้าเพียงเล็กน้อยระหว่างรอ เพื่อน มารับจึงติดตามข่าวและเห็นข่าวในทีวีแต่ยังไม่มีภาพ รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภาคใต้เลย จึงโทรไปหาผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ผู้บังคับบัญชา และขออนุญาต กลับบ้านต่างจังหวัดที่หมู่บ้านน้ำเค็ม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา หัวหน้าหน่วยงานได้ปลอบใจว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้นร้ายแรงหรอก ได้ทราบข่าวว่า เรือหลวงจังกรีนฤเบศ ได้ไปช่วยเหลือแล้ว จากนั้น อ้วนเพื่อนผู้เขียนจึงไ้ด้ขับรถมารับ และออกเดินทางกลับขณะนั้นได้มีสายจาก ท่าน ชช (ผู้เชียวชาญกรม) ได้ติดต่อเข้ามาและบอกว่าเิกิดภัยพิบัติเข้าที่ภูเก็ต และจังหวัดพังงาแต่ยังไม่ทราบรายละเอียด และจะช่วยติดตามข่าวและโทรบอกเป็นระยะ ๆ จากนั้นก็มีสายจากปลัดกระทรวงติดต่อมาว่าเมื่อไปถึงให้เปิดสายแสตนด์บายไว้ตลอดเวลาจะได้ติดต่อและเข้าไปช่วยเหลือดูแลประชาชน และกำลังเดินทางไปที่จังหวัดภูเก็ด และขณะเดินทาง มีเพื่อนร่วมหมูบ้านหลายคนในรถทุกคนมีอาการกระสับกระัส่าย และมีสายเข้า คนไหนทุกคนจะเงียบฟังเพื่อติดตามเหตการณ์อย่างใจจดจ่อ แต่ไม่มีใครในรถเลยที่สามารถติดต่อกับคนในหมู่บ้านได้เลย การเดินทางเป็นไปด้้วยความระทึกใจและสีหน้าเคร่งเครียดกันทุกคน ด้วยข่าวทีว่าไม่มีหมู่บ้านน้ำเค็มแล้วหายไปทั้งหมู่บ้านเลย ผู้เขียนจินตนาการไม่ออกว่าหมู่บ้านใหญ่ ๆ มีผู้คนมากกว่า ห้าพัน คน จะหายไปได้อย่างไร แต่ก็ปลอบใจตนเองว่าแค่น้ำท่วม คนคงไม่เป็นอะไร พยายามไม่นึกหรือจินตนาการไปในแง่น้าย แม่กับพ่อคงไม่เป็นอะไร สายโทรศัพท์ บางสายที่โทรมาบอกสมาชิก ในรถ ทำให้ร้องไห้ เช่นหายไปทั้งบ้าน หายไปทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครรอดเลย ผู้เขียนพยายามไม่เชื่อ รู้สึกอึออัดและกระอักกระอ่วนใจ ปลอบใจเพื่อน ๆ บางครั้งเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกคนนอน วันหลังเขียนต่อ

3 พย 54 เขียนต่อ ขณะที่เขียนอยู่เป็นช่วงน้ำท่วมภาคกลางกรุงเทพ ค่อนข้างเยอะและท่วมศูนย์ราชการ ผู้เขียนได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือน้อยมาก เหตการณ์ซูนามิต่างจากน้ำท่วมมากเนื่องจากน้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์เป็นคนก่อให้เกิดขึ้นเป็นคนทำลายสิ่งแวดล้อมผู้เขียนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการจัดการน้ำแต่เข้าใจไปตามสามัญสำนึกว่าเราน่าจะไปยุ่งกับธรรมชาติมากเกินไปแล้วที่จะจัดให้น้ำไหลตรงนั้นตรงนี้กั้นเขื่อนตรงนั้นตรงนี้ การสร้างเขื่อนจึงเป็นตนเหตุโดยตรงต่อการทำลายธรรมชาติทำให้สิ่งแวดล้อมที่จะเป็นไปตามธรรมชาติถูกทำลาย ถูกกำหนดโดยมีรู้เท่าไม่ถึงการหรือไม่ครอบครุมเช่นเดียวกับการปลูกป่าในความหมายของผู้เขียนคืการทำลายธรรมชาติ นั่นเองเรารู้ได้อย่างไรว่าเราจะปลูกต้นอะไรนอยู่ตรนงไหนต้องปลูกเท่าไหรชนิดไหนอยู่ใกล้ชนิดไหน ดังนั้นการทำลายทำชาติ และการ ปลูกป่า จึงเป็นเรื่องเดียวกันแต่เรียกสวยหรูได้ว่าเราฟื้นฟูธรรมชาติ จริงแล้วไม่น่าเป็นไปได้จนผู้เขียนเชื่อว่าการทำลายธรรมชาติการเบียดเบียนเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง ย้อนไปถึงเหตการณืใรวันซูนามิเมื่อเมื่อผู้เขียนเดินทางไปถึง บริเวณเขาศก ผ่านไปทางสุราฎธานี ผู้เขียนเริมเห้นคนเดินเท้าบ้างรถบ้างหนีขึ้นย้อทางที่เราเดินทางไปมีบางคนโบกมือห้ามรถคันที่เราเดินทางว่าอย่าเข้าไปเลยอันตรายจะมีคลืนยักษ์มาอีก ตอนนั้นคนในรถเริ่มเครียดหนักขึ้นอีกครั้งแต่เราไม่มีใครอยากทำตามคำแนะนำเพราะล้วนแต่ต้องการจะไปเห็นด้วยตาว่าเกิดไรขึ้นอยากไปพบหน้าพ่อแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงขับรถช้าลงเนื่องจากมีคนเดินเท้าจำนวนมากข้างทางตลอด ๆ จนกระทั่งเราไปถึงโรงพยาบาลได้เริ่มเจอคนที่เรารู้จักจึงทำให้ผู้เขียนพบพ่อนั่งอยู่บริเวณสนามหญ้าในโรงพยาบาลเนื่องจากเป็นคนเจ็บเล็กน้อย (การวินิจฉัยในขณะนั้น) เนื่องจากมีคนเจ็บคนตายจำนวนมากทำให้ต้องให้คนที่เจ็บเล็กน้อยอยู่ที่สนามหญาในบริเวณโรงพยาบาย ผู้เขียนได้เข้าไสวัสดีพ่และถามหาแม่ แต่พ่อไม่ได้ตอบไรผู้เขียนกับเพื่อน ๆ จึงเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านห่างจาก โรงพยาบาลอีกประมาณ 7 กม. แต่ได้มีเจข้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมให้เข้าไปในหมู่บ้านบอกว่าเข้าไปไม่ได้จะมีคลื่นยักษ์อีกบ้าง ก็บอกว่าเขตอันตรายห้ามเข้าคณะเราไม่อยากจะทะเลาะด้วยเนื่องจากใจจดจ่อกับการเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิต โดยเฉพาะแม่ที่ผู้เขียนต้องการพบมากที่สุด เราสามารถหาทางเข้าไปได้เนื่องจากเราเป็นคน ในหมู่บ้านตำรวจไม่สามารถกั้นได้ทุกทาง แต่เมื่อเข้าไปก็ต้องตกใจ พบกับความโกลาหลของผู้คนร้องไห้วิ่งหาญาติกันขวักไขว่บ้านเรือนผู้คนเป็นกอง  ๆ เหมือนเศษไม่เศษสวะที่คลื่นซัดมากอง ๆ จนนึกถึงสภาพเดิมได้ยากมาก ๆ และช่วงเช้าวันนี้ยังสามารถรับสายได้ ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากปลัดกระทรวงว่าให้แสตนด์บายอยู้ที่นี่การช่วยเหลือจะตามมาแต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้อีกเลยเครือข่ายโทรศัพท์ล่มและไม่สามารถใช้ได้อีกเลย ผุ้เขียนหาทางเดินลัดเลาะไปคนเดียวเพื่อไปหาบ้านและเจอในที่สุดต้องตกใจที่บ้านเปลี่ยนไปมากไม่มีรั้วพังกำแพงทั้งหมดโดยรอบ ผนังช่องหน้าต่างทะลุทั้งหมดมีรถหงายท้องอยู่บ้านสองคัน แต่ไม่ใช่รถที่บ้านน่าจะลอยมาจากที่อื่น และบริเวณรอบ ๆ บ้านมีศพ หลายศพอยู่กลาดเกลื่อน แต่ผู้เขียนก็มองหาแม่ ไปทั่ว ๆ ในใจไม่อยากเจอเลยในบริเวณนั้นได้แต่หวังว่าจะเจอที่ศูนย์อพยพหรือที่หน่วยเข้ามาช่วยเหลือไปเนื่องจากหากยังไดม่เจอศพก็ยังหวังจะได้เจอแม่ที่มีชีวิตอยู่ แต่ละวันเจอศพหาศพ ศพแล้วศพเล่าจำนวนมามากขึ้น ๆ คุ้ยตรงไหนก็เจอศพ อาทิตย์ผ่านไปเริ่มหาศพด้วยกลิ่นที่ไหนมีกลิ่นก็ไปคุ้ยไปขุดดู

วันหลังมาเขียนต่อครับ

4 พย 54 วันนี้หลังจากลองเดินทางด้วยรถเมลล์มาที่ทำงานลุยน้ำผ่านแยกรัชโยธิน เห็นหลาย ๆ ที่ที่น้ำท่วมก็อดนึกถึงครั้งซูนามิไม่ได้การเกิดซูนามิก็น่าจะใกล้เคียงกับการเทน้ำกะละมังใหญ่ ๆ ราดลงรังมดที่เดียว ไม้ได้เตือนล่วงหน้าเลย แต่น้ำท่วมครัเงนี้แต่ละจุดเตือนล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ ฯ เขตมลพิษเขตขยะมากล้นคนไม่รู้จักกันเขตแห่งการใช้ทรัพยากรสูงสุดในประเทศไทยทั้งพลังงานไฟฟ้าหนึ่งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่น่าจะใช้ไฟฟ้ามากกว่าอำเภอเล็ก ๆ ในชนบท เขตเศรษฐกิจสามานย์ของระบบทุนขนาดใหญ่ การจมอยู่ในน้ำหาได้คร่าชีวิตทันทีทันใดต่อใคร ๆ แต่กระทบ และก่อให้เกิดปัญหาใกล้เคียงกันแต่ระบบไฟฟ้าและการสื่อสารยังใช้งานได้ถือว่าทุกอย่างยังโอเคอยู่ ผู้เขียนขอเล่าต่อถึงเหตการณ์ ครั้งนั้นที่ซูนามิ

    หลังจากหลายวันผ่านไปแต่ละวันอย่างเหนื่อยยากในการคุ้ยหาศพหาคนรอดชีวิต ผู้เขียนได้มีโอกาศเจอศพจำนวนมากทั้งที่กู้ได้และกู้ไม่ได้ก็ทำเครื่องหมายไว้ให้คนมาช่วย บางศพเห็นแต่ผมนิดหน่อยโผล่มาพ้นดินเมื่อคุ้ยดูก็รู้ว่าเป็นศพก็ได้ช่วยกันกู้ขึ้นมาการทำงานตอนนี้ทุกคนเสมอกันมีค่าเท่ากัน เราเป็นแรงงานที่ต้อง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันบ้างช่วงสองสามวันแรกเราไปนอนกันที่โรงเรียนตะกั่วปาเสนานุกูลเป็นโรงเรียนเก่าที่ผู้เขียนร่ำเรียนมา แต่หลังจากนั้นก็ได้ไปรื้อและนอนที่บ้านได้ได้ขุดดินที่ทับถมบ้านออกจนสามมารถนั่งนอนและใช้ห้องน้ำได้

การค้นหาก็ได้ดำเนินต่อไปผู้เขียนไม่เครียดมาก และไม่โศรกเศร้าเนื่องจากยุ่งและมีงานทำมีงานค้นหาอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลามาเศร้าเสียใจในตอนนั้นตั้งใจจะเจอแม่ แม่ไม่เจอรอดชีวิตขอให้ได้เจอศพเพื่อจะได้ทำพิธีกรรมตามประเพณีต่อไป ในที่สุดก็ไม่เจอ จากการให้น้องญาติลองไล่นับแม่ยาย และเด็ก ๆ ญาติพี่น้องในบริเวณใกล้เคียงในตอนนั้น ผู้เขียน สูญ เสีย ไป 28 ชีวิต รวม แม่ ได้ศพเพียง 11 ศพ ในขณะค้นหานอกเหนือจากหากันเองแล้วกทม ก็ยังส่งเจ้าหน้าที่ไปดูดน้ำในเหมืองร้างหลังบ้านผู้เขียนได้ศพจำนวนมาก และหน่วยงานที่ได้เห็นหน้าตาและไปฝังตัวอยู่ช่วยเหลือเห็นหน้ากันอยู่ทุกวันคือ เจ้าเหน้าที่จากกรมทางหลวงชนบท ที่ขับรถขุดดินคุ้ยหาอยู่ตลอดเวลาและปรับสภาพหน้าดินและรอบ ๆ บริเวณให้สะดวกต่อการเป็นอยู่อย่างปกติ เราประทับใจมากแต่ก็ไม่ได้มีเวลามาขอบอกขอบใจหรือตอบแทนอะไรกันเลยแม้แต่ชื่อก็จำไม่ได้ม่มีใครได้จดหรือบันทึกกันไว้ต่างคนต่างช่วยเหลือกันทำงานกันอย่างรีบ ๆ เร่ง ๆ ด้วยหวังจะเจอศพจากวันแรก ๆ ที่ต้องการเจอคนรอดชีวิต มาตอนนี้หากเจอศพก็ดีใจแล้วการค้นหาเร่อมหมดหนทาง เริ่มมีพิธีกรรมจากซินแส ที่มาจุดธูป ชี้ไปทางโน้นทางนี้ผู้เขียนไม่ได้เชื่อเลยแต่ก็เกรงใจเขาบอกว่าตรงนั้นตรงนี้เขาอยากช่วยชี้ตรงไหนก็ขุด ๆ บางจุดรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้เช่นใต้โคนต้นไม้ชินแสก็ยังชี้ ในที่สุดก็ไม่เจอแม่ ศพอื่น ๆ ที่เจอทยอยขนออกไปไว้ที่วัดบางม่วงวัดย่านยาว เราก็ต้องตามไปค้นหาก็ได้เจอศพญาติ ๆเพื่อนบ้าน หลายศพบริเวณวัดคละครุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นอพอวนมากขึ้นทุกวัน ๆ จนหลายวันต่อมาผู้เขียนยังเข้าไปได้แต่ญาติและหลาย ๆ คนเริ่มไม่สามารถเดินเข้าไปบริเวณวัดได้ผู้เขียนยังได้เจอหมอพรทิพย์ที่ทำงานอยู่กับทีมงานถ่ายรูปบ้างสั่งโน่นนี่ยุ่งอยู่ทั้งที่กลิ่นเหม็นจนแทบทนกันไม่ได้แต่คุณหมอก็ทำงานไปรับประทานอาหารไปในนั้น จนน่าเห็นใจมาก ๆ น่ายกย่อง และได้แอบทราบมาตอนที่เคยฟังคุณหมอบรรยายที่บ้านราชวิถีที่กรุงเทพคุณหมอมีภาพในหลวงทรงงานเป็นกำลังใจอยู่ในกระเป๋าเสมอ ทำให้คุณหมอทำงานหนักตรากตรำงานที่ไม่มีใครอยากทำอยู่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผู้เขียนเดินทางไปมา และได้ขึ้นป้ายผ้าที่บ้านตัวเองเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสพภัย จนมีคนเข้ามาลงชื่อขอความช่วยเหลือจำนวนมากจะได้เป็นศูนย์กลางการให้การช่วยเหลือเนื่องจากศูนย์ของทางราชการทั้งหมดไปตั้งอยู่ในตำบลอำเภอห่างจากในหมู่บ้านไม่สะดวกชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือจำนวนมาก แต่ทราบว่าในช่วงอาทิตย์แรกความช่วยเหลือจากเมืองหลวงมุ่งสู่ภูเก็ตจังหวัดเศรษฐกิจของภาคใต้โดยมีคนรู้น้อยมากว่าจริงแล้วในหมู่บ้านน้ำเค็มมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในการเกิดซูนามิครั้งนี้แต่ด้วยการสื่อสารที่ถูกตัดขาดช่องทีวีต่าง ๆ มุ่งหน้าสู่ภูเก็ต การที่ผู้เขียนตั้งบ้านเป็นศูนย์รับการช่วยเหลือแจ้งซื่อลงทะเบียนนั้นเพื่อรอการช่วยเหลือจากส่วนกลางหลายวัน ๆต่อมาก็เริ่มได้เห็นหน้าการช่วยเหลือจากบ้านพักเด็กสงขลา จากหน่วยกู้ภัยปัตตานี จากมูลนิธิต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยกันกู้ศพ มีหลายศพที่อยู่บริเวณบ้านข้องผู้เขียนที่โดนวัตถุหนัก ๆ ทับจนใช้แรงคนยกไม่ได้เช่นโดนต้นไม่ใหญ่ล้มทับอยู่โดนกำแพงปูนทับอยู่ ได้นอนกับเราอยู่บริเวณบ้านจนส่งกลิ่น ดึก ๆ ผู้เขียนก็เดินส่องไฟฉายดูศพเหล่านั้น ก็ยังนอนอยู่ดีไม่ได้ลุกขึ้นเดินตามจินตนาการในหนังผีแต่อย่างใดในตอนนี้ผู้เขียนไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลยสามารถส่องไฟมองหน้าพิจารณาศพยามดึกดื่นได้เหมือนวัตถุอย่างอื่นที่ไม่ใช่ศพเลยที่เดียว เพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งยังได้ไปจับแขนขาดอันหนึ่งที่ตอนเก็บศพเก็บไปไม่หมด เพื่อนยังเข้าใจว่าเป็นแขนปลอมมาถือเล่นเมื่อรู้ว่าของจริงก็รีบวางทันทีศพนี้ผู้เขียนรู้ว่าเป็นใครเนื่องจากมีโทรศัพท์มือถือผู้เขียนเลยแกะเอาซิม มาโทรดูตอนที่โทรได้ในอำเภอให้ญาติมารับศพตอนโทรไปปลายสายได้ยินเสียงร้องดีใจมากว่ายังมีชีวิตอยู่ยังโทรศัพท์ได้แต่พอผู้เขียนพูดว่าไม่ใช่เก็บโทรศัพท์เท่านั้นแหละเสียงเงียบลงและได้มาเก็บศพและแขนไปในที่สุด

การค้นหาที่ไม่รู้ว่าจะจบวันไหนอย่างไรก็ยังไม่สิ้นสุดผู้เขียนได้เจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ ผู้บังคับบัญชาของกรมกระทรวงเพิ่มขึ้นและได้ช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นที่จะค้นหาต่อไป ในบึงใหญ่หลังบ้านผู้เขียนได้ดำน้ำโดยเอาหน้ากากดำน้ำมากจากศพฝรั่งที่ดำสกูบ้าและเสียชีวิตทั้งชุดดำน้ำอยู่หลายศพทำให้มีอุปกรณ์ในการดำน้ำ ก่อนนั้นได้เจอนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งระดับประเทศเดินทางเข้าไปด้วยรถจักรยานยนต์ ผู้เขียนถามว่าจะเอาอย่างไรดีคาดว่าจะมีศพอยู่ในบึกจำนวนมากและมีรถยนต์จมอยู่ เขาตอบว่าจะส่งนักดำน้ำมาช่วย จากนั้นเขาก็ไปได้เห็นภาพเขาในข่าวแล้วเขาก็ไปผู้เขียนและเพื่อน ๆ ไม่ได้รอนักดำน้ำจากที่ไหนเราดำหากันเองจนเจอรถเจอศพการดำลงไปแล้วเจอศพเป็นเรื่องตื่นเต้นและน่ากลัวจนต้องรวบรวมความกล้าค่อนข้างมากหลังบ้านผู้เขียนมีรถสองแถวและรถยนต์กระบะจนกันอยู่ใต้น้ำและจักรยานยนต์อีกหลายคัน เพื่อน ๆ และผู้เขียนก็ได้รับประทานอาหารได้จากชาวบ้านในอำเภอตะกั่วป่าที่ทำกับข้าวมาให้รับประทานและเริ่มมีข้าวของให้มากขึ้นโดยเฉพาะเสื้อผ้า บ้านผู้เขียนเป็นบ้านแรกที่เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านไม่ไปอยู่ที่โรงเรียนอีก และนอนกันได้หลายคนเพราะกำแพงพังห้องเล็ก ๆ ก็กลายเป็นห้องโถงใหญ่ ชั้นสองก็ยังอยู่ได้หลังคาก็ยังอยู่ห้องน้ำใช้ได้แต่ต้องขุดและกู้อยู่หลายวันการขุดที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างคือการขุดทองที่แม่ผู้เขียนชอบฝังไว้ขุดอยู่หลายวันในที่สุดก็เจอแม่ชอบฝังไว้ที่ต่าง ๆ หลังบ้านบริเวณที่เพาะถั่วหลังบ้าน

     การดำเนินการขุดค้นเริ่มน้อยลงเริ่มตระเวณหาตามสถานที่วัดต่าง ๆ และที่อื่น ๆ ที่เป็นสถานที่รวบรวมศพแต่ก็ไม่เจอแม่เลยจนถึงวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่บ้านผู้เขียนจึงได้รวบรวมสติและคน จัดงานทำบุญขึ้นที่บ้านเป็นการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตและทำบุญปีใหม่นำรูปแม่มาทำบุญในพิธีกรรมนิมนต์พระมาจากวัดและทุกคนที่กำลังเสียสติกลุ้มใจเครียดหาศพหาญาติไม่เจอได้อยุดตั้งสติที่บ้านในวันนั้นมีคนจำนวนมากมาร่วมในการทำบุญปีใหม่กันทั้งที่ยังหาศพเจอกันน้อยมากพิธีจักขึ้นอย่างง่าย  ๆ ก็นิมนต์พระมาและนำเทียนไขมาจากวัดจำนวนมากเล่มโต ๆ ไว้จุดตอนกลางคืน น้องชายผู้เขียนก็เป็นอีกคนที่อยู่ในเหตการณ์การช่วยเหลือตลอดเขาไปกางเต๊นซ์นอนอยู่ชายหาดตอนกลางคืนในขณะที่คนอื่น ๆ เขากลัวซูนามิอีกรอบกันตอนนนี้ เริ่มรู้แล้วรับความจริงกันแล้วว่าหาไม่เจอเล่ากันพูดคุยกันมากขึ้น เดินถามไถ่ทักทายกันมากขึ้นในขณะที่ช่วงวันแรก ๆ ไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยกันเลย ผู้เขียน เสียบ้านไปสองหลังคือบ้านที่อยู่อาศัยกับอีกหลังเล็กเก่า ๆ โทรม ๆ เป็นบ้านเช่าอยู่ในพื้อนที่ขัดแย้งกับนายทุนที่เข้ามาฮุปที่บริเวณนี้ได้ต่อสู้กันมานานมาถึงตอนนี้เขาอยากได้ก็เอาไปเลยไม่อยากเหนื่อยหรือต่อสู้อะไรอีกได้พ่อมีชีวิติอยู่ก็ดีแล้วนายทุนอยากได้นักก็เอาไปขอให้มีความสุขกับการได้ที่ผืนนี้ไปก็แล้วกัน แต่บ้านที่อยู่ของผู้เขียนเป็นที่ดินมีโฉนดแล้วก็ไม่มีปัญหาได ๆ ครอบครัวผู้เขียนแจ้งการรับการช่วยหลือเหมือนกับชาวบ้านรายอื่น ๆ ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลกรมป้องกันภัย 16,500 บาท (หนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยบาท) และหลังจากที่ผู้เขียนกลับมาทำงานได้มีสีกากีหน่วยหนึ่งเข้าไปอยู่ที่บ้านและเก็บวัศดุอุปกรณ์และเป็นศูนย์กลางการซ่อมสร้างบ้านให้ผู้เสียหายด้วยการใช้บ้านของผู้เขียนเป็นที่เก็บวัศดุอุปกรณ์ ผู้เขียนก็ดีใจจะได้มีส่วนในการช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ที่ต้องเจ็บคือบ้านผู้เขียนไม่ได้อยู่ในบัญชีซ่อมและช่วยเหลือหรือบูรณะให้เลยได้ขอแล้วก็บ่ายเบี่ยงปฎิเสธไม่มีคนรับปากหรือรับผิดชอบจนในที่สุดก็เป็นบ้านที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือในการซ่อมสร้างแต่อย่างใดจากหน่วยสีกากีจนวันหนึ่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสมัยนั้นเข้าไปเยี่ยมก็ยังรับปากแต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด

7 พย 54

โดยสรุป ผู้เขียนจึงไม่ได้โกรธเกรียดหรืออะไรมากเพราะเราก็ต้องพึ่งพาตนเองอยู่แล้ว เราไม่ได้รู้สึกกับการเป็นส่วนหนึ่งของการที่จะต้องเป็นคนไทยที่อ่อนแอตาม นโยบายของรัฐบาลทุกยุคที่ต้องการให้คนไทยอ่อนแอพึ่งพาตนเองไม่ได้รอแต่การพึ่งพาของผู้มีอำนาจ รอการพึ่งพาจากรัฐอยู่อย่างเดียว ประชาชนที่เป็นอย่างนั้นจึงน่าจะเป็นนโยบายซ่อนเร้นที่รัฐต้องการ

การพึ่งพาตนเองได้ช่วยตนเองอิสระจึงไม่ได้เป็นที่ต้องการจากรัฐนักที่จะมาชี้ซ้ายชี้ขวาให้เราได้

การที่รัฐช่วยเหลืออย่างล่าช้าและไม่ได้สนใจอย่างจริงใจต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างจริงจังทำไปอย่างเสียไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ผู้เขียนรู้สึกและสัมผัสอยู่ตลอด ผู้เขียนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เห็นและได้สัมผัสการทำงานที่ย่ำแย่ไม่มีหลักคิดสร้างและส่งเสริมแต่ความอ่อนแอให้ประชาชนไปวัน ๆ ผู้บริหารระดับสูงทำแต่งานไปวัน ๆ ไม่เรียนรู้และพัฒนาหรือมองหาหนทางใหม่ ๆ เลย 

มาถึงน้ำท่วม 54 ประกฎชัดเจนถึงความอ่อนแอไม่มีทิศทางย่ำแย่ไม่มีวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ที่เป็นรัฐบาลเดียวกับช่วงซูนามิ 47 แต่อ่อนแอยิ่งกว่าไม่มีทิศทางยิ่งกว่าทำได้แต่ส่งข้าวกล่องให้เป็นภาพในข่าว ภาพการเตี๊ยมเตรียมให้นายก ให้รัฐมนตรีก็ยังเป็นอยู่แต่ไม่เห็นภาพชัดเจนถึงแผนการหรือวิธีการที่ชัดเจนเห็นประจักษ์ว่าจะดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาประชาชนที่อ่อนแอที่ถูกกระทำมาจากทุกรัฐบาล และมาถูกซ้ำเติมจากภัยธรรมชาติ ความไม่เป็นแบบแผนของการบริหารจัดการการพัฒนาเมืองแบบชุมชนขุดทอง ที่ไหนมีทองผู้คนก็แห่กันไปขุดไปอยู่ สร้างสถาบันการศึกษาที่ทำให้เด็กเยาวชนอ่อนแอในการพึ่งพาตนเอง

มาตรฐานประชากรตกต่ำจจุบันยังมีประชาชนไม่รู้หนังสือ และที่รู้หนังสือ ก็ทำงานได้อย่างเดียวรู้ด้านใดด้านหนึ่งมีประชาชนจำนวนมากที่เกิดมาในเมืองหลวง เดินไม่ได้ไกล ว่ายน้ำไม่เป็น ขี่จักรยานไม่ได้ ขับรถไม่เป็น ปีนต้นไม้ไม่ได้ อย่าให้ก่อไฟถ่านเลยแม้แต่ติดเตาแก๊ซยังทำไม่ได้ไม่กล้าทำนี่ผู้เขียนได้เจอประชากรแบบนี้จริง ๆ และน่าจะมากขึ้นด้วยด้วยสังคมด้วยสถาบันการศึกษาที่เปรียบเหมือนโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเครื่องจักรชิ้นไดชิ้นหนึ่งส่งให้โรงงานและนักศึกษาก็จบมาเป็นลูกจ้างอย่างเชื่อฟังมีวินัยทำเป็นอยู่เรื่องเดียวในแผนกให้ง่ายตอ่การเข้าใจเห้นภาพ ผู้เขียนยกตัวอย่าง อู่ซ่อนรถในอดีต ที่ช่างและเด็กฝึกงานในอู่ต้องพร้อมเรียนรู้และฝึกหัดกับรถยนต์ทุกยี้ห้อซ่อมได้ดัดแปลงได้ตามความสามารถและความชำนาญของช่างประจำอู่ แต่อู่รถปัจจุบันที่เป็นศูนย์ซ่อมจะทำได้อยู่อย่างใดอย่างหนึ่งในแผนกที่ตนเองทำอยู่เท่านั้นเจอแปลกยี่ห้อก็ทำกันไม่เป็นแล้วการเรียนรู้และการพัฒนาในสถานศึกษา ชอบยกตัวอย่างว่าผลิตฟันเฟืองเข้าสู้สังคม เด็กเยาวชนจึงได้เป็นแต่ฟันเฟืองจริง ๆ สมใจที่รัฐบาลต้องการ เข้าสู่ระบบทุนระบบการผลิตจำนวนมากตามระบอบทุนต้องการแต่กลไกที่ผลิตเพื่อการเคลื่อนย้ายทุนการสร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อให้คนจำนวนมากสั่งสมให้คนจำนวนน้อย ที่เป็นนายทุนที่เป็นผู้นำที่เป็นชนชั้นนำ ที่เป็นนายทุนจากต่างประเทศ ที่ยอมให้ลูกจ้างได้ค่าแรงขั้นต่ำที่สุดที่ลูกจ้างรับได้และยังทนได้เมื่อเริ่มทนไม่ได้ก็เพิ่มค่าแรงเท่าที่พอทนได้ต่อมาต่อมา

   ผู้เขียนแวะเรื่องมาตรฐานคนไทยมากทั้งที่ตั้งใจจะเขียนเรื่องน้ำท่วมหรือมหาวิกฤติของโอกาศคอร์รับชั่นของรัฐบาล54 ผู้เขียนเห็นว่า นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เป็นผู้นำประเทศเป็นภาพลักษณ์ของประเทศ น่านับถือน่าเคารพยกย่อง ยกมือไหว้แล้วรู้สึกว่าได้ไหว้ผู้ใหญ่ที่น่านับถือ จนกระทั้งถึงปัจจุบันเป็นครั้งแรกที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น แรกเริ่มยังคิดว่าหรือเราอายุมากขึ้น แต่น่าจะไม่ใช่น่าจะเป็นนายกที่แย่ที่สุดตั้งแต่เรามีมาเลย แต่ก็มีขอดีอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าใครก็เป็นนายกได้ไม่ต้องรู้สามารถหรือสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์หรือน่านับถืออาจเป็นแม่ค้าพนักงานบริษัทที่ประสบความสำเร็จมีเงินก็เป็น ได้แล้ว

 วิกฤติน้ำท่ว 54 จึงจะหวังให้รัฐทำความอ่อนแอให้ประชาชนอะไรอีกได้ การรับบริจาคและการจ่ายแจกเป็นเครื่องมือหาเสียงเป็นการสร้างความอ่อนแอความอยากได้

มีคนสิบคนเดิมไปรับของแจก หากหนึ่งคนไม่ได้ก็จะโมโหโกรธาทั้งที่ของนั้นยังไม่ได้ดูเลยอาจเป็นกล่องเปล่าหรือของไม่มีค่างวดอะไรเลยก็ตาม

ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นทำได้แค่นั้นรัฐบางกระทรวงที่มีงบเป็นหมื่นแสนล้านส่งรถไปขนคนไม่กี่คันกับคนติดรถหวังได้ภาพลักษณ์ที่ดีจากประชาชน ประชาชนที่อ่อนแอรอความช่วยเหลือของรัฐที่รัฐสร้างไว้ ที่รัฐต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อทำข้าวกล่องไปให้ให้เห็นในภาพข่าวอย่าง หมดหนทางทำอะไรได้หรือเป็นหนทางที่รัฐบาลต้องการให้คนรอพึ่งจากรัฐบาล คนไทยอ่อนแอขนาดนั้นแล้วหรือไม่ได้ข้าวกล่องจากรัฐจะตายกันหมดแล้วหรือทั้ง ซูนามิ และน้ำท่วมกับรัฐบาลนี้จึงเป็นหายนะของประเทศที่สร้างโดยรัฐบาลเดียวกันที่ไม่ได้สร้างหนทางของการแก้ปัญหาหรือพัฒนาแต่อย่างใด สิ้นหวังสิ้นหวัง
หมายเลขบันทึก: 335949เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2010 16:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 19:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท