วันนี้ แอมมี่ได้รับเกียรติให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนาที่นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นผู้จัด และมีนักศึกษาเข้าร่วมฟังประมาณ 160 ท่าน ในหัวข้อ "การบริหารเวลา (Time Management)"
(ภาพคงจะตามมาในอีก 2-3 วันนะคะ เพราะไม่ได้ถ่ายเอง ^^)
เนื่องจาก คนเราทุกคนมีเวลาเท่ากันค่ะ คือ 24 ชั่วโมง (1 วัน)
ดังนั้น การจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในทุกๆเรื่องได้ เราต้องรู้จักบริหารเวลานะคะ
ซึ่ง style การทำงานแบบใหม่ของคนส่วนใหญ่สมัยนี้ เค้ามักจะชอบทำงานกันแบบ Work-Life - Balance คือ แบ่งเวลาของชีวิตส่วนตัวและงานออกให้เท่าๆกัน มากกว่าการทำงานแบบสมัยก่อนที่มักจะทำงานหนักกันแบบสุดๆ เวลาพักก็พักกันยาวเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน หรือ Work Hard - Play Hard
แต่หัวใจสำคัญจริงๆ คือ การรู้จักวางเป้าหมายในชีวิต และการวางแผนการก้าวไปสู่เป้าหมายในชีวิตค่ะ
ในคลาส แอมมี่ได้สร้างตารางแมททริกซ์การวางเป้าหมายในชีวิต ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า นักศึกษามีเป้าหมายในชีวิตทุกด้านอย่างไรบ้าง??? แล้วให้นักศึกษาลองลงมือเขียนเป้าหมายแบบ SMART Goal (Specific, Measurable, Achievable, Realistic, Time Frame) กันทุกคน (อย่าลืมเอาไปใช้นะคะ และกลับมาตรวจสอบบ่อยๆ ด้วยว่าเราได้ทำตามเป้าหมายแล้วหรือยัง แล้วถ้ายังไม่ได้ทำหรือทำไม่สำเร็จ ก็ลองปรับวิธีการดูค่ะ ว่าทำอย่างไรเราถึงจะก้าวไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างรวดเร็วและสวยงาม)
เมื่อได้เขียนเป้าหมายแล้ว นักศึกษาต้องลองเขียนวิธีการดูค่ะ ว่าการจะประสบความสำเร็จในแต่ละช่องนั้น เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง
เช่น ถ้าเราอยากเรียนจบปริญญาโท เราจะต้องจบปริญญาตรีให้ได้ก่อน แล้วจึงสมัครเรียนป.โทในสาขาที่เราสนใจ ในสถานที่ที่เหมาะสมกับเรา (จำได้มั๊ยคะ สถานที่และการทำในสิ่งที่ชอบ คือกลยุทธ์สำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึงให้มากที่สุด เพราะจะช่วยให้เราประหยัดเวลาและประสบความสำเร็จ (และรวย) เร็วขึ้น) ถ้าเราอยากเรียนจบต่างประเทศ แต่ไม่มีเงิน เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง??? ---> ขอทุน เพราะฉะนั้น ต้องได้เกรดดีในระดับป.ตรีก่อน ---> เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจเรียนตั้งแต่ปี 1-2 ไม่สามารถไปเที่ยวบ่อยๆ ต้องแบ่งเวลาในการเรียน, อ่านหนังสือ, ทำรายงาน, และเรียนภาษาเพิ่มเติม เป็นต้น
"ยอมเหนื่อยตอนนี้ ดีกว่าลำบากในภายหน้า" คือ สิ่งที่แอมมี่เน้นให้นักศึกษาค่ะ
แน่นอนค่ะ งานทุกงานจะทำเสร็จได้ด้วยดีและประหยัดเวลาสุดๆนั้น ต้องยอมเสียเวลาวางแผนให้มากๆ และก่อนจะทำงานอะไรต้องพิจารณาก่อนนะคะว่างานนั้นสำคัญและเร่งด่วนหรือไม่
การทำงานในปัจจุบันนี้นั้น ประเภท "ข้ามาคนเดียว" หรือ "ไม่มีใครสามารถทำได้ดีกว่าชั้น" เป็นความคิดที่ตกสมัยไปแล้วค่ะ เพราะยุคนี้เค้าเน้น "การทำงานเป็นทีม" มากกว่า เพราะฉะนั้น 95% ขององค์กรมักจะรับพนักงานที่นอกจากจะมี IQ สูงแล้ว ก็ยังต้องมี EQ ที่สูงอีกด้วย
ชาวตะวันออกอย่างพวกเรา มักจะมีน้ำจิตน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมงาน ไม่เหยียบย่ำและคอยช่วยเหลือกันในยามยาก ในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าฝรั่ง (สังเกตได้จากวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ ประเทศทางเอเชียได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยหนึ่งคือ การที่เราช่วยกันในยามยากนี่แหละค่ะ ทำให้เราฟื้นฟูและผ่านวิกฤตได้เร็วกว่า) แต่เราต้องลดความอิจฉาลงมากๆ คิดให้มากขึ้น ลงมือทำซะ (มากกว่านั่งฝัน) และยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยจิตใจที่ไม่อคติ เท่านี้ก็จะสามารถชนะฝรั่งได้นะคะ (อ.แอมมี่ยืนยันได้จากประสบการณ์ตรง ^^)
เทคนิคการบริหารเวลา - อยู่ที่การรู้จักมอบหมายงานให้ทีมงาน ซึ่งข้อแรกต้องรู้จักเลือกทีมงานที่มีความสามารถ เป็นคนมีเป้าหมายหรือรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ข้อสองคือ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ไปเลย 90% อย่าหวงค่ะ เพราะยิ่งเค้าเก่งเท่าเราหรือเกือบเท่าเรา เราจะทำงานสบายขึ้นและเป็นห่วงน้อยลง ช่วยเหลือเค้าให้มากที่สุด สั่งงานง่ายๆ คอยตรวจเช็ค และชื่นชมยินดีเมื่อทีมงานของเราทำงานถูกต้องตามที่เราสั่ง อย่าลืม say YES เมื่อเราและทีมงานทำงานสำเร็จ (แม้จะชิ้นเล็กๆ เพราะจะช่วยสร้างกำลังใจได้มากมาย) ปฏิบัติต่อทีมงานเหมือนเพื่อน (มากกว่าในฐานะเจ้านาย-ลูกน้อง) เพราะนี่มันยุค participation หรือ "ขอมีส่วนร่วมหน่อย" เราจึงควรรับฟังคำแนะนำของทีมมากกว่าไปสั่งงานเค้าอย่างเดียวค่ะ
การพัฒนา "ทักษะ" ในการบริหารเวลา เป็นเรื่องที่ต้องทำบ่อยๆ เพื่อฝึกให้เราคิดวิธีแก้ปัญหาในเรื่องของการประหยัดเวลาและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นนะคะ
เมื่อชีวิตมีเป้าหมาย มีความสมดุล งานสำเร็จลุล่วง ไม่มีเรื่องต้องห่วง ก็จะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น (ซึ่งแน่นอนค่ะ เมื่อประสบความสำเร็จ ความร่ำรวยจะมาเคาะประตูหาคุณเองนะคะ)
โชคดีทุกท่านค่ะ
อย่าลืมฟังฟรีสัมมนานะคะ http://gotoknow.org/blog/best-training/334703
อิศราวดี ชำนาญกิจ
9 กุมภาพันธ์ 2553
ไม่มีความเห็น