วันเสาร์ที่ 30 ม.ค.53 วันหยุดสบายๆวันหนึ่งผมได้เข้าร่วมการสัมมนา "ภูฐาน ดินแดนแห่งความสุขในสังคมโลกยุคใหม่"จัดขึ้นที่ห้องประชุม 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ งานนี้จัดขึ้นโดยคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯร่วมกับSchool for Wellbeing และสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา
เรื่อง “ความสุขมวลรวม”นี้ในพักหลังผมมีเรื่องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในหลายมิติ เลยทำให้สนใจติดตามเรียนรู้โดยเฉพาะเมื่อทราบข่าวว่าจะมีการจัดเวทีในเรื่องนี้ และมีวิทยากรจากต้นตำหรับอย่าง “ภูฐาน” ผมจึงย่อมไม่พลาดที่จะเข้าร่วมเวทีที่ดีๆอย่างนี้
ในเรื่อง“ความสุขมวลรวม”นี้หลังจากได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้า ได้ทดลองการปฏิบัติการร่วมกับชุมชนในหลายพื้นที่แล้วทำให้นึกถึงคำพูดของอ.ไพบูลย์ที่เคยแลกเปลี่ยนกับแกนนำชุมชนที่ตำบลบ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เมื่อครั้งที่ท่านลงไปเยี่ยมชุมชนที่ตำบลบ้านเลือกเมื่อ 24 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ถึงแม้ว่าหนทางนี้ยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง แต่เรื่องการสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นเจ้าภาพในการจัดทำเป้าหมายและตัวชี้วัดการพัฒนาหรือ "ตัวชี้วัดความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่น"ด้วยตัวชุมชนเองนั้นเป็นเรื่องที่ขบวนชุมชนได้เดินมาถูกทางแล้ว
บรรยากาศของ"ภูฐาน ดินแดนแห่งความสุขในสังคมโลกยุคใหม่"วันนั้น เป็นบรรยากาศแห่งความสุขจริงๆที่สัมผัสได้เลยครับ กับการได้เพลิดเพลินในการแสดงดนตรีและเพลงพื้นบ้านภูฐานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยจิมมี ดรุกปา(คนนี้เปรียบกับ จรัญ มโนเพชร บ้านเรา)แถมยังได้เต้นรำพื้นบ้านกับทีมงานจากภูฐานอีกด้วย รวมทั้งมีการแสดง "ลำนำ ในดินแดนแห่งความสุข"(คล้ายอ่านบทกวี)งานนี้กำกับการแสดงโดยผู้กำกับคุณภาพคับแก้ว รัศมี เผ่าเหลืองทอง
สำหรับการเสวนา "ความสุขมวลรวมประชาชาติ(GNH):โลกจะตื่นสู่ความฝันของภูฐานได้จริงหรือ"มีวิทยากรเช่น ดาโช คินเลย์ ดอร์จิ:ปลัดกระทรวงการสื่อสารและคมนาคม เป็ก ดอร์จิ:ผู้อำนวยการศูนย์ภูฐานเพื่อประชาธิปไตยฯ แต่น่าเสียดายด้วยตลอดรายการเป็นการสัมมนาภาคภาษาอังกฤษผมเลยดำน้ำฟังไปหลายอึกเลยที่เดียว
“ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาร่วมกัน และเป็นไปได้ว่าจะเป็นสิ่งสูงสุดที่เราต้องการ ขณะที่เราต้องการสิ่งอื่นๆเพียงเพื่อเป็นวิถีไปสู่การเพิ่มความสุขเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงขอถืออภิสิทธิ์ที่จะกล่าวว่าความสุขมวลรวมประชาชาติ เป็นวัตถุประสงค์การพัฒนาของภูฎานที่ไม่อาจระบุปริมาณ.....แวดวงวิชาการมิได้มีการพัฒนาเครื่องมือที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการมองดูความสุข ซึ่งเป็นระบบการให้คุณค่าเบื้องต้นของมนุษย์ สิ่งนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัว กล่าวคือเมื่อเป้าหมายเบื้องต้นของการพัฒนาคือความสุข แต่เป้าหมายที่แท้จริงนี้ก็ทำให้การวิเคราะห์ของเราล้มเหลวเพราะนักวิชาการมักมองกันว่ามันเป็นเรื่องจิตวิสัย.....เราต้องตั้งหลักการและคำถามทางจริยธรรมเกี่ยวกับความสุขขึ้นมาใหม่ ให้เป็นข้อเสนอและระบบของการให้คุณค่าซึ่งสามารถใช้ได้โดยทั่วไป...เป็นเป้าหมายที่มนุษยชาติทั้งหลายได้ร่วมกันกำหนดขึ้นโดยพื้นฐาน”
สุนทรพจน์ ของท่าน เลียงโป จิกมี วาย ธินเลย์
ประธานคณะรัฐมนตรี คณะรัฐบาลหลวงแห่งประเทศภูฐาน
แสดงต่อที่ประชุมสหัสวรรษเพื่อเอเชียและแปชิฟิก
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2541
ณ กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
(แปลโดย เจษณี สุขจิรัตติกาล)
(เจสัน ดอร์จิ;นางฟ้าน้อยจากภูฐาน....นางฟ้าน้อยแห่งความสุข)
ตอนต่อไปผมตั้งใจว่าจะได้บันทึกการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้และประสบการณ์จากที่ได้เข้าร่วมสัมมนา"ภูฐาน ดินแดนแห่งความสุขในสังคมโลกยุคใหม่"ในครั้งนี้และจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้บทเรียนประสบการณ์การนำหลักการปรัชญา “ความสุขมวลรวมประชาชาติ(GNH)” แล้วเราจะใช้ภาวะผู้นำของชุมชนท้องถิ่นขับเคลื่อนสู่การเสริมสร้าง “ความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่น” ในสังคมบ้านเรานั้นควรจะเป็นอย่างไร
ผมกำลังสนใจในเรื่องนี้อยู่พอดีครับ การพัฒนาภาวะผู้นำของชุมชนท้องถิ่นในขับเคลื่อนการเสริมสร้าง “ความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่น”ซึ่งเรื่องนี้ผมมีงานวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยใช้พื้นที่ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรีเป็นพื้นที่กรณีศึกษาครับ
(เป็ก ดอร์จิ:ผู้อำนวยการศูนย์ภูฐานเพื่อประชาธิปไตยฯหน้าตาคล้ายคนบ้านเรามาก)
การไปร่วมงานในครั้งนี้มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบครับ
ผมได้หนังสือ “เรื่องราวในดินแดนแห่งความสุข”ของ ดาโช คินเลย์ ดอร์จิ
ในหนังสือเล่มนี้เขาได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆของเขาตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาวยุคแสวงหา จนถึงวัยทำงาน
ในวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยทำงานในฐานะคนทำงานด้านสื่อทำให้เขาได้มีโอกาสได้เดินทางไปในหลายประเทศ
หน้าสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้น่าสนใจครับ
“...ผมไปเยี่ยมชาวนาวัย 72 ปีที่เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของฮอลแลนด์ เขาภูมิใจในความสำเร็จด้านการเกษตรของฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นสูง ทำให้เขาได้ผลผลิตมากกว่าที่เขาเคยทำได้ในสมัยที่เขายังหนุ่มๆหลายพันเท่า
เขาชี้ว่า ทุกวันนี้ชุมชนที่ทำการเกษตรมีความมั่งคั่ง แต่ภรรยาวัย 72 ปีเช่นเดียวกับเขากลับโหยหาความอบอุ่นของมนุษย์ที่เคยมีในยุคพัฒนาน้อยกว่านี้
“อย่างเช่น ถ้าใครเกิดเจ็บป่วย เราจะไปเยี่ยมกันและกัน นำชากับขนมเค้กไปเยี่ยมคนไข้แล้วพูดคุยกันนานๆ”
เธอย้อนนึกถึงความหลัง
“แต่เดี๋ยวนี้เรากินยาที่นางพยาบาลซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้นำมาให้กิน”
ผมคิดว่าผมเข้าใจ เธอหมายความว่าอย่างไร
และได้เวลาที่ผมจะกลับบ้านผม(ภูฏาน)ได้แล้ว
..................................
แม้หนังสือเล่มจะเล็กๆครับ แต่อ่านแล้วประทับใจมากครับ....
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความสุขค่ะ
จะคอยติดตามตอนต่อไปนะคะ
การนำหลักการปรัชญา “ความสุขมวลรวมประชาชาติ(GNH)” โดยใช้ภาวะผู้นำของชุมชนท้องถิ่นสู่การเสริมสร้าง “ความสุขมวลรวมชุมชนท้องถิ่น”ในสังคมบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร
อ.ศิลาครับนี่เป็นโจทย์ที่ผมใช้ทำการศึกษาวิจัยด้วยครับ โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือในการค้นหาคำตอบร่วมกับชุมชน ผมทิ้งค้างมานาน...จนเกือบจะยอมแพ้แล้วครับ แต่ตอนนี้มีแรงฮึดแล้วคิดว่าภายใน 2 เดือนนี้น่าจะปิดเล่มได้แล้วครับ
ขอบคุณครับ
เรื่องความสุขมวลรวมสำหรับคนหนองคายอาจจะถือว่าเป็นการ "เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน"ครับ
ด้วยหนองคายเคยเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับนานาชาติในเรื่องนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 25550 การประชุมนานาชาติเรื่องความสุขมวลรวมมีการจัดมา 4 ครั้งแล้วครับ เท่าที่ผมทราบ
มาบอกเล่าเอามะพร้าวห้าว "ความสุขมวลรวม" มาขายสวนกับคนหนองคายครับ
สวัสดีค่ะ
พี่สุเทพครับ GNH เกิดได้ทุกที่จริงๆ จะพยายามสราง GNH ครับ
ชุมชนเป็นมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนา จึงเห็นว่าการเพิ่มศักยภาพของชุมชนไปสู่การเชื่อมโยงการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน เป็นการสร้างรากฐานการพัฒนาสู่เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตและการอนุรักษ์ฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมทั้งการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จึงได้จัดกิจกรรมแหล่งเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติ “ห้องเรียนร้อยไร่”
ขอบคุณครับครูคิม
ความสุขเกิดได้ทุกๆที่ เกิดได้ทุกๆเมื่อและเกิดได้กับทุกๆคน
สวัสดีค่ะท่านเทพฯ
ภูฏาน เป็นตัวอย่างดินแดนแห่งความสุข และคุณภาพชีวิตนะคะ
ถ้าเป้าหมายของบ้านเราคือ คุณภาพชีวิตที่วัดจากความสุขปัจเจกชน อัตลักษณ์ของชุมชน และวิถีพอเพียงอย่างยั่งยืน คงไม่ไกลเกินเอื้อม ใช่ไหมคะ
ไว้จะมาเรียนรู้ใหม่ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับพี่สุเทพ
เรื่องนี้โดนใจผมจริงครับ
ผมนึกย้อนกับไปตอนเป็นเด็ก
แม้เราจะยากจน แต่ก็ร่ำรวยน้ำใจ
น้ำใจในชนบทยังหาได้ครับผมว่า
"คนเชียงใหม่ ก่อนจากกัน เขาจะอวยพร ว่า "อยู่อุ่นกินหวาน"
"คนภาคกลาง บอก อยู่เย็นเป็นสุข"
คนสมัยก่อนเขาใจความสุข เป็นเป้าหมายการพัฒนาชุมชนดีนะครับพี่
ดาโช คินเลย์ ดอร์จิ:ปลัดกระทรวงการสื่อสารและคมนาคม
ผู้แต่งหนังสือ “เรื่องราวในดินแดนแห่งความสุข”ครับ
ผมนึกย้อนกับไปตอนเป็นเด็ก
แม้เราจะยากจน แต่ก็ร่ำรวยน้ำใจ
น้ำใจในชนบทยังหาได้ครับผมว่า
"คนเชียงใหม่ ก่อนจากกัน เขาจะอวยพร ว่า "อยู่อุ่นกินหวาน"
"คนภาคกลาง บอก อยู่เย็นเป็นสุข"
คนสมัยก่อนใจเขาอยู่ที่ความสุข
อ่านเมนท์ของฝนทำให้ย้อนผมกลับไปอ่าน“เรื่องราวในดินแดนแห่งความสุข”
ของ ดาโช คินเลย์ ดอร์จิ อีกครั้ง ในหน้าสุดท้ายคล้ายๆความเห็นของฝนเลยทีเดียว
ในหนังสือ “เรื่องราวในดินแดนแห่งความสุข”ของ ดาโช คินเลย์ ดอร์จิ
เขาได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆของเขาตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาวยุคแสวงหา จนถึงวัยทำงาน
ในวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยทำงานในฐานะคนทำงานด้านสื่อทำให้เขาได้มีโอกาสได้เดินทางไปในหลายประเทศ
หน้าสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้น่าสนใจครับ
“...ผมไปเยี่ยมชาวนาวัย 72 ปีที่เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของฮอลแลนด์
เขาภูมิใจในความสำเร็จด้านการเกษตรของฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นสูง
ทำให้เขาได้ผลผลิตมากกว่าที่เขาเคยทำได้ในสมัยที่เขายังหนุ่มๆหลายพันเท่า
เขาชี้ว่า ทุกวันนี้ชุมชนที่ทำการเกษตรมีความมั่งคั่ง แต่ภรรยาวัย 72 ปีเช่นเดียวกับเขากลับโหยหาความอบอุ่นของมนุษย์
ที่เคยมีในยุคพัฒนาน้อยกว่านี้
“อย่างเช่น ถ้าใครเกิดเจ็บป่วย เราจะไปเยี่ยมกันและกัน นำชากับขนมเค้กไปเยี่ยมคนไข้
แล้วพูดคุยกันนานๆ”
เธอย้อนนึกถึงความหลัง
“แต่เดี๋ยวนี้เรากินยาที่นางพยาบาลซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้นำมาให้กิน”
ผมคิดว่าผมเข้าใจ เธอหมายความว่าอย่างไร
และได้เวลาที่ผมจะกลับบ้านผม(ภูฏาน)ได้แล้ว
..................................
หนังสือเล่มเล็กๆครับ อ่านแล้วประทับใจมากครับ....
เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากเล่มหนึ่ง