สืบเนื่องจากที่ป๋าเปมิช แสดงความเห็นไว้ในกระทู้วันที่ 22/05/2006 ผมได้ตอบไว้แล้ว แต่ได้นำมาตั้งเป็นประเด็นอีกเพราะเห็นว่ามีประโยชน์มาก
ขอบคุณป๋าเปมิชมากครับที่สะท้อนปัญหาที่ท่านประสบในเรื่องประกันชีวิต
ผมเชื่อว่ามีอีกหลายท่านมากที่ประสบปัญหาจากการเคลมไม่ได้
หรือปัญหาเกี่ยวกับตัวแทนอย่างที่ป๋าเปมิช เจอกับตัวเอง
ผมจึงได้เปิด Blog นี้
เพื่อให้ลูกค้าได้สะท้อนปัญหาของท่าน
เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยกันแก้ไขปัญหาไงครับ
ลองคิดดูนะครับถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีเป้าหมายที่ร่วมกันคือ
ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แล้ว...ระบบประกันชีวิตบ้านเราจะพัฒนาไปมากเพียงใด ผมอยากให้
1) กรมการประกันภัย
มีการควบคุมบริษัท
และตัวแทนอย่างจริงจัง ให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อทั้งลูกค้าและบริษัท
และรวมทั้งจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมด้วย อยากให้กรมการประกันภัยจัด
Rating ความน่าเชื่อถือของบริษัท ให้ประชาชนเห็นกันชัดๆ เลย
บริษัทจะได้พัฒนา..
2)
บริษัทมีระบบกลั่นกรอง/อบรมตัวแทน
ให้มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อลูกค้าและบริษัท
ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ
คนไม่ดีต้องคัดออก ไม่ใช่แค่ขอให้ตัวเลขดี..ตัวแทนจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำบริษัทไม่สนใจ...อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้
และที่สำคัญต้องเป็นหน้าที่ของบริษัทด้วยที่จะต้องสร้างคนของตนเองให้มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
3) สมาคมประกันชีวิต
บ้านเรายังไปไม่ถึงไหนในเรื่องวิชาชีพประกันชีวิต ผมอยากให้มี
สภาการประกันชีวิตเพื่อทำหน้าที่ "ควบคุมวิชาชีพตัวแทนประกันชีวิต"
เหมือนวิชาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์ พยาบาล ทนายความ
4)
ตัวแทนประกันชีวิต พอพูดถึงตัวแทน มันเป็นเรื่องของการมองที่ตัวคนแต่ละคน ผมว่ายากที่จะควบคุม...
ถ้าสถาบันในข้อ 1-3 ทำหน้าที่ได้ไม่ดีก็ยากที่จะควบคุมตัวแทน
เท่าที่ผมทราบ ปัจจุบันนี้
ผมฝากความหวังในการพัฒนาตัวแทนให้เป็นคนดีไว้กับ
"บริษัทประกันชีวิต" กับ
"ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารหน่วย"
ดูเหมือนผมไม่ได้ตอบประเด็นปัญหาของป๋าเปมิช
แต่ผมต้องการสื่อความคิดผมว่า
ปัญหานั้นมีอยู่จริง...ไม่ใช่เฉพาะบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
แต่เป็นปัญหาของทั้งระบบ
แต่ผมยังเชื่อในด้านดีของระบบประกันชีวิต..เป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อแต่ละคน
และ ต่อสังคม
มันก็เหมือนเราซื้อมังคุดมาทานนั่นแหล่ะครับ
บางลูกก็เน่าเสีย เราก็ทิ้งลูกนั้นไปกินลูกใหม่...เราทำอย่างนี้ใช่มั๊ยครับ
คงไม่มีใครทิ้งมังคุดทั้งถุง
ผมอยากสรุปอย่างนี้ครับว่า คุณค่าหลักของประกันชีวิตที่แท้จริงอยู่ที่ว่า..มันคือเครื่องมือช่วยรับรองเป้าหมายหรือความฝันของเราให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน แต่จะเป็นจริงได้เพียงใด อยู่ที่คุณภาพของตัวแทนที่จะช่วยวิเคราะห์และให้คำปรึกษาแก่ท่านได้เหมาะสมเพียงใดครับ ส่วนบริษัทผมเชื่อว่าคงไม่มีบริษัทใดจะตั้งขึ้นมาเพื่อคดโกงลูกค้า
ส่วนเรื่องที่ป๋าเปมิชบ่นเรื่องตัวแทนไม่นำส่งเงินเบี้ยประกันให้บริษัทนั้น
ผมก็ขอแจ้งเตือนไว้เลยนะครับว่า
1)
อย่าจ่ายเงินกับตัวแทนโดยไม่ได้ใบเสร็จรับเงิน
2)
ใบเสร็จรับเงินนั้นต้องมีวันหมดอายุ ช่วยดูด้วยครับ
ถ้าหมดอายุแล้วก็อย่ารับ (อย่าจ่ายเงิน)
3) ถ้าไม่แน่ใจ
ให้โทรถามบริษัทเลยครับ ทุกบริษัทจะมีเบอร์โทรในใบเสร็จ (AIA
โทร 1581 Call centre)
4)
ไม่มั่นใจอย่าจ่ายเงินกับตัวแทนครับ ให้จ่ายที่บริษัท
,สำนักงานตัวแทน หรือธนาคารนะครับ
5) ส่วนเรื่อง Claim
ไม่ได้ ผมคงตอบไม่ได้ครับ คงต้องดูเป็นกรณีไป
เพราะการเคลมสวัสดิการตามสัญญาเพิ่มเติมมันมีข้อยกเว้นบางประการ(โดยหลักการยกเว้นจะคล้ายๆกันทุกบริษัท
เพราะเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมายซะส่วนใหญ่) แต่มีข้อสังเกตุจากข้อมูลที่ให้มา
ดังนี้ครับ
5.1)
ที่ว่าตัวแทนดองใบเสร็จไว้นานจนเบิกไม่ได้นั้น
ไม่จริงอย่างแน่นอน
เพราะแม้แต่ลูกค้าไม่ได้แจ้ง Cliam เป็นปีหลังเกิดเหตุที่ต้อง Claim
ยัง Claim ย้อนหลังได้เลย
เรื่องนี้ลองถามไปที่สำนักงานตัวแทนดูนะครับ
หากใบเสร็จหายไปแล้ว
ให้ไปปรึกษาสำนักงานตัวแทนดูว่าจะทำอย่างไร
ผมเห็นว่ามีทางแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้
5.1)
ค่ารักษา 8 พัน เบิกได้ 4 พัน อันนี้ผมตอบได้เลยครับว่าเกิดจาก
เงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลนั้นมันมีจำกัดครับ
(เหมือนกันทุกบริษัทนะครับ...เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าว่าบริษัทนี้ไม่จ่ายให้หมด..ไปซื้อบริษัทอื่นดีกว่า...จาผิดหวังอีกนะครับ)
คือ กรมธรรม์จะระบุไว้เลยว่า เบิกได้กี่รายการ อะไรบ้าง
จำนวนเท่าใด ถ้าเกินกว่านั้นก็ต้องจ่ายเองครับ
มันไม่เหมือนสิทธิข้าราชการ หรือการประกันสังคมครับ
สิทธิพวกนี้เค้าเรียกว่า อนุสัญญา ครับ
เงื่อนไขการคุ้มครองจะจำกัดและมีเงื่อนไขยกเว้นบางประการ...
แต่ผมเชื่อนะครับว่า
ทุกบริษัทก็คิดผลประโยชน์ให้เหมาะสมแล้วตามมูลค่าเบี้ยประกันของอนุสัญญาแต่ละตัว...เพราะอัตราเบี้ยประกันและผลตอบแทนทุกสัญญา
ต้องผ่านการตรวจสอบและอนุญาตโดยกรมการประกันภัยแล้วจึงจะนำออกขายได้.
ไม่มีความเห็น