โครงการ "การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้" มีระยะเวลา 2 ปี (มิ.ย.49 - พ.ค.51) นำโดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษา 2 ท่านคือ ดร. เลขา ปิยะอัจฉริยะ และ ดร. สุวัฒน์ เงินฉ่ำ มีทีมงานจาก สกศ. และ มรภ.สวนสุนันทา ได้รับทุนสนับสนุนการ "วิจัย" จาก สกว. และ สกศ.
โครงการนี้จึงได้ชื่อว่านำโดยคนที่โชกโชนอยู่กับการบริหารและปฏิรูปการศึกษา โดยที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาเน้นการใช้ "พลังแข็ง" คือกฎหมายและการปฏิรูปโครงสร้าง และการริเริ่มโครงการแนวดิ่งจากส่วนกลาง
บัดนี้ทีมงานที่เคยโชกโชนกับแนวทางเดิมหันมาทดลองแนวทางใหม่ที่เน้นใช้ "พลังอ่อน" คือพลังความดีความสำเร็จ ความริเริ่มสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วในครูในโรงเรียน เอามา ลปรร. และขยายผลด้วยเครื่องมือ KM
ที่จริงต้องใช้ทั้ง 2 แนวทางคือไม่ใช่ either - or, แต่ใช้ both - and ให้มีสมดุล
สิ่งที่ผมขอเสนอแนะในการใช้ KM เป็นเครื่องมือก็คือเวลานี้ในประเทศไทยมีหน่วยงาน/บุคคลที่มีประสบการณ์การทำ KM กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย แกนนำ KM ใน 17 สพท. และ 78 โรงเรียนควรได้เข้าไป ลปรร. ประสบการณ์และวิธีการทำ KM จากหน่วยงาน/บุคคลเหล่านั้น
ประเด็นที่ต้องไป ลปรร. คือทำ KM อย่างไรให้ไม่เพิ่มงาน ให้เนียนอยู่ในเนื้องานและให้คนเป็นสุข
วิจารณ์ พานิช
1 มิ.ย.49
เห็นด้วยค่ะ กับการที่จะทำอย่างไรที่จะให้ KM ไม่เป็นการเพิ่มงาน และให้คนเป็นสุข