คนเก่าคนแก่ การเปลี่ยนแปลง และเทคนิคการขอนิดส์นึง


Appreciative Inquiry : การขอนิดส์นึง

ช่วงนี้มีคำถามที่หลายๆคนมีปัญหาอย่างมากเกี่ยวกับการขอให้เปลี่ยนแปลงครับ

โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ ค่านิยมองค์กร ความเชื่อ หรือสิ่งที่เขาทำกับมาตั้งแต่อดีต

ปัญหาที่พบในกรณีนี้คือ คนเก่า/คนดั้งเดิมในองค์กรมักที่จะเชื่อมันว่าระบบที่ตนได้ทำมาเป็นเวลานานนั้น

มันดีอยู่แล้ว และสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาแทนที่นั้นเป็นอะไรที่ฝืนความรู้สึกของพวกเขา หรือสิ่งที่เข้ามาใหม่นั้น

จะทำให้การดำเนินกิจกรรมในแต่ละวันของพวกเขาเปลี่ยนไป หรือมันดีไม่เท่า จึงเป็นเรื่องยากครับที่เราจะขอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้




คำถามที่พบบ่อยๆในกรณีนี้คือ

"ป๊า/ม๊าไม่ยอมให้นำคอมพิวเตอร์/เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้กับธุรกิจ"

"คนในองค์กรไม่ยอมเปิดใจรับระบบการทำงานแบบใหม่ที่ผู้บริหารคิดขึ้น"

ครับ... ต้องยอมรับกันก่อนครับว่า คนเก่า/คนแก่/คนเดิมๆ พวกนี้เป็นกลุ่มคนที่ยากที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงครับ

ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆครับ  ให้เวลากับพวกเขาหน่อย และก็ใช้เทคนิค "ขอนิดส์นึง" ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครับ




แล้วไอที่ว่า "ขอนิดส์นึง" เนี่ยมันเป็นยังไงเหรอ.... เทคนิคนี้ผมได้มาจากผู้รู้ที่เคยนำไปใช้และเวิร์คมาแล้วครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ชายหนุ่มคนนี้ต้องการที่จะติดป้ายโฆษณาอันใหญ่บึ้ม หน้าบ้านของใครก็ไม่รู้ครับ ตอนแรกเขาเดินไปขอตรงๆ

"เออ... ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าผมจะขอติดป้ายโฆษณาที่หน้าบ้านของพี่หน่อยได้ไหมครับ"

คำตอบไม่ต้องคิดให้ยากครับ "ไม่ได้"แน่นอน... ใครจะยอมให้เอาป้ายใหญ่ๆที่ไหนก็ไม่รู้มาติดหน้าบ้าน

หลายวันต่อมาชายหนุ่มก็เข้าไปขอใหม่ครับ แต่เปลี่ยนจากป้ายใหญ่บึ้มเป็นสติกเกอร์อันเล็กๆแทน

ผลปรากฎว่า เจ้าของบ้านยอมที่จะให้ติดครับ... หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มคนนี้กลับไปขอใหม่ครับ คราวนี้ขอติดป้ายใหญ่บึ้ม

ผลปรากฏว่า เจ้าของบ้านยอมให้ติดซะอย่างนั้น  - -"  งง ไหมละครับ





ครับ... กรณีของชายหนุ่มคนนี้จะเห็นได้ว่า การขอติดป้ายอันใหญ่บึ้มในตอนแรกเลยไม่ประสบความสำเร็จครับ เขาไม่ยอมให้ติด

แต่พอเปลี่ยนเป็นสติกเกอร์อันเล็กๆ ( ขอนิดส์นึง ) เจ้าของบ้านเลยยอมให้ติด จนในท้ายที่สุดเขาก็สามารถที่จะขอติดป้ายอันใหญ่ได้

เพราะเจ้าของบ้านสามารถที่จะทำใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับหน้าบ้านของเขาได้แล้ว

เจ้าของบ้านคิดว่าขนาดติดสติกเกอร์ยังไม่มีผลกระทบอะไรกับบ้านเขา และการติดป้ายอันใหญ่มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ

เห็นไหมครับ... จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าของบ้านเปิดใจรับคือ ชายหนุ่มคนนั้น "ขอนิดส์นึง" ไงครับ ^^





ที่นี้กลับมาที่คำถามที่ว่าเราจะเปลี่ยนความคิด/ค่านิยมของคนเก่าคนแก่ได้อย่างไร

ผมแนะนำให้ลองนำเอาเทคนิค "ขอนิดส์นึง" ไปปรับใช้ดูครับ

เพราะว่าการที่เราจะเปลี่ยนแปลงความคิด สิ่งที่เขาเชื่อ หรือค่านิยมขององค์กรนั้นต่างต้องใช้เวลาทั้งสิ้น

ถ้าเราไปเปลี่ยนแปลงใหม่เลยทั้งหมดตั้งแต่แรก และจะให้พวกเขายอมรับเลยนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

"การขอนิดส์นึง" นั้นจะทำให้พวกเขาค่อยๆปรับตัว และเปิดใจยอมรับกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเข้ามาครับ




ในกรณีที่บอกว่า "ป๊า/ม๊าไม่ยอมให้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการเช็ค Stock" ในช่วงแรกเราต้องยอมให้ท่าน

ใช้วิธีการเดิมๆของท่านควบคู่ไปกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราครับ ( ของเดิม 90% คอมพิวเตอร์ 10% )

พยายามแสดงให้ท่านเห็นว่าเทคโนโลยีก็ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น เร็วขึ้น แสดงข้อดีของมันออกมาเยอะๆครับ

พวกท่านก็จะเริ่มเห็นถึงประโยชน์ของมัน และเราก็ค่อยๆนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานในอัตรส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในท้ายที่สุดระบบการเช็ค Stock ก็จะใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักครับ

ขอย่ำครับ... ว่าต้องใช้เวลา และใจเย็นๆครับ การเปลี่ยนแปลงของพวกนี้ไม่ใช่สอง สามวันจะทำได้สำเร็จ ^^

 



มาถึงตรงนี้ก็หวังว่า เทคนิคการ "ขอนิดส์นึง" นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีปัญหาในกรณีแบบนี้อยู่นะครับ

ลองนำไปปรับใช้กันดูครับ ผมว่ามันจะให้ผลที่น่าแปลกใจเลยทีเดียว 
^^


แล้วคุณละคิดยังไง

 

หมายเลขบันทึก: 326063เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2010 12:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวสดีค่ะ

บันทึกนี้ดีจังค่ะ

เหมาะกับคนที่ต้องสืบทอดกิจการจากพ่อแม่

จะเรียกว่าเป็น เทคนิค น้ำเซาะทราย ก็ได้นะคะ... ทีละนิดทีละหน่อย พอท่านเห็นผลว่าดี ก็จะเปิดใจให้เอง

ขอบคุณค่ะ

(^___^)

จะลองเอาไปใช้ครับ..."ขอนิดส์นึง"

ชอบวิธีการนี้จังองค์กรผมมีแต่คนเก่าแก่ เขาเคยประสบความสำเร็จมากมาย เราจะเปลียนแต่เขาก็ยังเงียบ

แต่ค่อนข้างไม่สนับสนุนเรา คงต้องลูกขอนิดอย่างคุณว่า

ก็เหมือนตอนเซล์โทรมาขายสินค้าทางโทรศัพท์ค่ะ

ตอนแรกที่รับสายส่วนมากเค้าจะบอกว่า ขอเวลานิดเดียว 2 นาทีให้ฟังเรื่องที่เค้าจะเล่า พอเราตอบตกลงเท่านั้นแหล่ะ

จาก 2นาทีเริ่มจะยาวๆๆ ไปเรื่อยๆจนกว่าจะวางสายได้นั้นบางทีก็เกือบ 10 นาทีเลยทีเดียว คนเราส่วนใหญ่ชอบเกรงใจคนอื่นถ้าโดนบอกว่าขอนิดเดียว แล้วปฎิเสธก็จะดูเหมือนคนใจดำ ฉะนั้่นวิธีขอนิดเดียวก่อนจึงเป็นวิธีที่ใช้แล้วค่อนข้างได้ผลค่ะ ยิ่งกับคนไทยที่ส่วนมากแล้วจะเป็นคนขี้เกรงใจแล้วมีน้ำใจด้วยแล้วยิ่งได้ผลดีค่ะ นอกจากจะเจอคนใจแข็งจริงๆ

ยังไง พี่ก็ยังเห็นว่า

การขอนิดนึงได้ประโยชน์และเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด

มากกว่า การฆ่าตัวตายแบบการไม่ขอแต่จงใจเปลี่ยนแปลงไปเลย

องค์กรบางองค๋กร โดยเฉาพะองค์กรแฟล็ตแนวราบนะ ไพรัชต์

บางองค์กรเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน เหมือนการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก

ที่ทำให้แผนที่โลกเปลี่ยน หากสัตว์ชนิดไหน survival ได้ก็ถือว่าเก่ง เยี่ยม เจ๋ง

หากสัตว์ไหน ปรับตัวไม่ทัน ก็ตายไป นี่คือ สิ่งที่เขาเรียกว่า เปลี่ยนแบบถอนรากถอนโคน

กลับมาต่อว่า บางองค์กรเขาไม่ค่อยขอนิดนึงกันนะ เขาคิดอะไรทำเลย เพราะว่า บางคนคิดว่า

"ตัวเราเป็นใหญ่" ซึ่งแม้แต่ผู้น้อยบางคนก็ยังคิดแบบนี้

คือเป็นใหญ่ในด้านที่ถนัดของเขา แต่อย่างนั้นจะทำให้องค์กรโดยรวมมีปัญหาในท้ายที่สุด

เพราะอะไรรู้มั้ย ...

เพราะท้ายที่สุด มันจะสวนทางกับการออกนโยบาย (ซึ่งคือกลยุทธ์) คือ

ไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

อืมม ยังไม่เคยอ่านจริงๆ ด้วยครับ เขียนตั้งแต่วันแรกๆ เลย

สงสัยผมต้องข้ามไปหลายอันแน่เลย เดี๋ยวต้องกลับไปหาอ่านแล้วครับ

เขียนเก่งกันจริงๆ เลย จะตามอ่านไม่ทันอยู่แล้ว เอิ้กๆๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท