จดหมายถึงครู ι ๘ มกราคม ๒๕๕๓


ตื่นขึ้นมาตีสาม รู้สึกหนาว ระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ส่งการบ้านครู (ผิดศีลข้อ 4 ไม่ปฏิบัติตามข้อวัตรที่บอกครูไว้) นั่งพิมพ์การบ้านส่ง เสร็จแล้วก็มานั่งทำวัตรเช้า หนูรู้สึกเหนอะหน่ะ ไม่ค่อยสบายตัว แต่ก็ยังทนอยู่กับความรู้สึกนี้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ

ตื่นมาอีกทีหกโมงเช้า โอ้วันนี้เป็นวันมามาก เหมือนใจหนูรอมาหลายอาทิตย์เพราะมีสัญญาณทางอารมณ์คือหงุดหงิดง่าย และสองสามวันมานี้มีอาการคัดเต้ามากกว่าปกติ เปลี่ยนชุดไปวิ่งออกกำลังกาย

ระลึกว่าวันนี้เป็นวันพระ จึงหยิบขนมปังที่ซื้อมาจากท่าน้ำ กะว่าเอาไปใส่บาตรด้วย วิ่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ วันนี้เป็นวันศุกร์ในกระทรวงมีตลาดนัด หนูจึงเลี่ยงเส้นทางนั้น วิ่งไปวิ่งมาเห็นหลังพระสงฆ์อยู่ไกล คล้าย ๆ ท่านจะออกพ้นประตูกระทรวงไปแล้ว หนูอยากใส่บาตร ซึ่งอีกองค์หนึ่งท่านเดินแยกไปอีกทางซึ่งในมือท่านถือของอยู่จำนวนหนึ่ง

หนูรู้สึกผิดหวัง แล้วแว๊บนึกถึงคำสอนครูว่า

“ใจเรามันไปคาดหวัง จึงมีผิดหวังและสมหวัง”

ใจหนูสบายขึ้นวิ่งภาวนาต่อ แล้วระลึกกับตนเองว่า ถ้าเจอพระสงฆ์ก็จะใส่บาตรแต่ถ้าไม่เจอก็เอากลับไปทานที่หอ ตลอดเส้นทางวิ่งกลับปรากฏว่าไม่เจอพระเลย กลับมาที่ห้องหนูจึงนั่งลงเขียนบันทึกถอดบทเรียนในตนเอง

เห็นครูท่าน mail ตอบกลับมาว่า

“ขอบคุณมากติ๋ว...นี่แหละคือ การดูแลพี่”

หนูทบทวนในตนเองว่า เมื่อวานทำอะไรบ้าง ก็รู้สึกว่า อืม แบบนี้นี่เอง ระลึกว่าเราพอจะผ่อนแรงท่านได้อย่างไร ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเอง ตั้งใจปฏิบัติต่อท่านแบบไม่คาดหวัง

          อาบน้ำแต่งตัว ครูโทรมาหาบอกว่า

“พรุ่งนี้พี่จะมาถึงประมาณเที่ยง ๆ ก็น่าจะนัดอาจารย์เราได้บ่ายแก่ ๆ แล้วแต่เรา กับอาจารย์ ว่าเวลาไหนหรือจะเย็น ๆ ก็ได้ พี่จะเข้าไปหาติ๋วก่อน เราจะเดินห้างรอ ฮ่า ๆ แล้วอาจารย์โทรมารึยัง”

หนูตอบว่า

“ยังค่ะ หนูไม่อยากกดดันอาจารย์”

 หนูมีแว๊บความคิดขึ้นในใจ รึหนูจะปกป้องอาจารย์เกินควรอย่างที่ผ่านมารึเปล่านะ แต่ก็ไม่ได้ค้นคิดหาคำตอบต่อ แล้วก็กล่าวขอบพระคุณครูเรื่องกระเป๋าและเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานหนูรู้สึกงง ๆ พอเสร็จภารกิจ ครูท่านก็วางสายไป หนูแต่งตัวไปทำงาน

          พอไปถึงที่ทำงาน วันนี้ตอนเช้าต้องนัดหมายเรื่องการไปเข้าฝึกอบรมการทำ DNA finger print ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน 10 วัน รู้สึกขอบพระคุณพี่มลเพราะท่านเห็นว่ามีที่ว่างจึงชวนไปร่วมเรียนรู้ด้วย

พอพี่หัวหน้าห้องเภสัชเวททราบเรื่องจึงขอให้ลูกน้องร่วมไปด้วยอื่นคนหนึ่ง สรุปเราทั้งหมดไปกัน 5 คน ถือว่าโอเคทีเดียว แม้จะต้องประสานไป ประสานมา หนูสังเกตใจตนเองรู้สึกสบาย ๆ เพราะการไปเรียนรู้ร่วมกันหลาย ๆคน เป็นโอกาสที่ดี เพราะราคาค่าเข้าอบรมครั้งนี้สูงถึง สี่หมื่นบาท ไม่รวมค่าที่พักและค่าเดินทาง

แล้วก็มีการชี้แจงเรื่องการเขียน IPA เป็นรูปแบบใหม่ของการประเมินขึ้นเงินเดือนของข้าราช สาเหตุมาจากเมื่อวานหัวหน้าห้อง ท่านไม่ว่างจึงส่งตัวแทนเข้าไปฟัง

แต่หนูเลือกที่จะเรียนรู้งานแล้วไม่เข้าฟัง แต่พอเพื่อน ๆ ที่ไปฟังมาชี้แจง หนูก็เห็นจิตชั่ว ๆ ของตนเองมันอยากจะอวดเก่ง เหมือนอวดรู้ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่ได้เข้าฟัง

ตอนแรกเผลอโพร่งถามขึ้นมา มารู้สึกตัวทีหลัง(ผิดศีลข้อ 1) ได้แต่ถอนหายใจกับความอวดดีของตนเองค่ะ หลัง ๆ จึงนั่งตั้งใจฟัง จนเสร็จสิ้นใกล้ ๆ เที่ยง แล้วแต่ละคนมาชี้แจงปรึกษากัน ตรงนี้ค่อยมาทำความเข้าใจกันมากขึ้น ใจหนูก็หนักน้อยลง

          พอพักเที่ยง หนูแวะมาเช็ค mail

ครูท่านสั่งงานเพิ่ม คือให้เอาการบ้านสภาวะและศีล ที่เขียนส่งท่านทุกวันขึ้น G2K ด้วย

หนูรู้สึกอึ้ง แต่ยังไม่พิจารณาอะไร แม้จะไม่ค่อยหิวแต่ก็ตัดสินใจ ลงไปซื้อกับพี่ ๆ ไปเจอป้าอบที่โรงอาหาร รู้สึกแปลกใจเพราะท่านบอกหนูว่า วันนี้มีงานเลี้ยง ท่านบอกหนูว่า

“วันนี้คนไม่ครบเลยเลื่อนไปก่อน”

 

หนูจึงรู้สึกอ้อ แต่หนูได้บอกพี่ ๆ ว่าจะไปทานข้างบนแล้วจึงขอตัว วันนี้เป็นวันแรกที่มานั่งทานร่วมกับทุก ๆ คน หนูไม่ค่อยชิน รู้สึกอึดอัด (ผิดศีลข้อ 1 เพ่งโทษตนเอง เพ่งโทษผู้อื่น) แต่ก็พยายามปรับตัว

เราทานกันบนโต๊ะทำงานอาจจะแคบหน่อยแต่ก็เห็นน้ำใจของแต่ละคน เหมือนเราคับที่แต่ไม่ได้คับใจ  พี่ ๆ เปิดทีวีดูข่าว ห้องนี้จะปิดแอร์ตอนเที่ยงแล้วเปิดพัดลม ประหยัดไฟ

          บ่าย ๆ หนูค้นข้อมูลเพิ่มเติมปรับแผนงานวิจัยให้เหมาะกับช่วงเวลาที่ถูกบีบลงกับการไปฝึกอบรม

พอมีช่วงว่าง ระลึกว่า อืม งั้นก็เอา mail เมื่อวานขึ้นไปก่อนแล้วกัน เผื่อไม่เหมาะไม่ควรเช่นใด ครูท่านจะได้ชี้แนะให้ก่อน แล้วหนูก็นั่งทำงานต่อ ใกล้เลิกงาน หนูจึงนั่งเขียนบันทึก G2K เพิ่มเติม

ออกจากที่ทำงาน เดินกลับวันนี้ใจหนูเป็นลิงโลดแบบบอกไม่ถูกค่ะ หาสาเหตุไม่ได้  เหมือนอารมณ์ดี อยากจะร้องเพลง อยากเต้น เดินกลับมาฟ้าค่อนข้างครึ้ม แต่หนูก็เปลี่ยนชุดไปวิ่งออกกำลังกาย ใจหนูลิงโลดมาก ๆ หนูรู้สึกแปลกใจ พยายามอยู่กับมันอย่างมีสติ หากสาเหตว่า เอ........ลิงโลดเพราะอะไร หนูมีคำตอบขึ้นมาว่า

  • จะได้เจออาจารย์
  • อาจารย์จะได้เจอครู
  • เราจะได้เจอกัน

 

หนูวิ่ง ๆ สังเกตใจที่ยังลิงโลด  แล้วก็มีความคิดว่า ถ้าลิงโลดแบบขาดสติ ใจต้องเจออะไรครอบงำแน่น ๆ หนูพยายามจดจ่อ เป็นอาการลิงโลดแบบหลง ๆ บอกไม่ถูกค่ะ ขากลับฝนตกหนัก หนูเปียกทั้งตัว แต่ใจไม่ได้ทุกข์ร้อนกับฝน มันยังคงเป็นอาการลิงโลดอยู่  พอถึงประตูหอพัก หนูเกรงว่ารองเท้าหนูจะทำพื้นเลอะจึงถอดรองเท้าแล้ววิ่งขึ้นตึกเข้ามาในห้อง

 

 

ร่างกายหนูภายในเต็มไปด้วยความร้อนจากการวิ่ง แต่ภายนอกเย็นด้วยน้ำฝนที่เข้ามาปะทะ หนูยืนพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรดี ตัดสินใจเปลี่ยนชุดเปียกออกก่อนรอ ให้อุณหภูมิร่างกายปรับนิดหน่อย จึงค่อยอาบน้ำสระผม แล้วหนูก็มานั่งพิมพ์การบ้าน ทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งวัน อาการใจลิงโลดหนูลดลง

ประมาณทุ่มครึ่ง หนูนั่งลงทำวัตรเย็นพร้อม ๆ กับสถานีวิทยุหลวงตา วันนี้เป็นวันพระ ขณะที่สวดทำวัตรเย็นในหัวหนูโล่งโปร่งสบาย ใจสว่าง รู้สึกเบา แต่พอสวดถึงบทที่หนูสวดไม่ได้  เปิดตามไม่เจอรู้สึกสะดุดหนักขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แล้วก็สวดต่อไปเรื่อย ๆ จนเสร็จพิธี หนูนั่งลงทำสมาธิตามลมหายพร้อมกับ ฟังเทศน์หลวงตา สักพักลุกขึ้นมาพิมพ์การบ้านส่งครูต่อ

 

  ศีล

  1. ไม่ได้ฆ่าสัตว์ วันนี้เพ่งโทษตนเองสั้นลงค่ะ และก็เพ่งโทษคนอื่นน้อยลง
  2. ไม่ได้ลักทรัพย์ หรือ หยิบของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้ค่ะ
  3. ไม่ได้แย่งแฟนหรือสามีใครค่ะ แต่ก็มีความรู้สึกอยาก
  4. วันนี้ทำตามข้อวัตรได้สมบูรณ์มากขึ้น แม้จะมีความรู้สึกหวั่นไหวว่า จะเขียนอย่างไรดีนะ กับการที่ต้องเขียนให้คนอ่านชีวิตประจำวันของตนเอง แต่ไม่เป็นการพูดไม่จริง และไม่ทำร้ายผู้อื่นทั้งทางตรงแลพทางอ้อม
  5. ไม่ดื่มเหล้าค่ะ แต่สติยังไม่ต่อเนื่อง โดยภาพรวมแล้ววันนี้สติดีขึ้น กล้าเผชิญสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็นมากขึ้นค่ะ
หมายเลขบันทึก: 325964เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2010 20:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท