ปัญหาความชั่วร้ายต่อมนุษย์ผ่านมุมมอง THE GODS MUST BE CRAZY
หากเราพิจารณาเนื้อเพลงไทยในอดีตเพลงหนึ่งที่ขึ้นต้นว่า “เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง ให้มันไหลลง ไหลลง ไหลลงทะเล เบื่อความรักจากคนร้อยเล่ห์ เล่ห์ลวงลึกกว่าทะเล สุดคาดคะเน สุดนับคณา......” ซึ่งประพันธ์โดย พยงค์ มุกดา เนื้อเพลงไทยที่กล่าวถึงนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของความชั่วร้าย โดยเฉพาะความข่มขื่นและความเบื่อที่ยากจะแก้ไขได้ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือ ความชั่วร้ายมาจากไหน ใครเป็นผู้สร้างความชั่วร้ายให้เกิดกับมนุษย์
ในภาพยนตร์เรื่อง THE GODS MUST BE CRAZY เราจะเห็นความชั่วร้ายบางประการที่เกิดขึ้นกับคน ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มคนป่าที่มนุษย์ส่วนหนึ่งมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือ กลุ่มที่ยังไม่พัฒนา กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มคนเมือง ซึ่งถือตัวเองว่าพัฒนาแล้ว
ช่วงต้นของภาพยนตร์ เป็นการเสนอให้เห็นมิติของวิถีชีวิตของกลุ่มคนป่าเผ่าบุชแมนแถบทะเลทรายคาลาฮารี ชีวิตท่ามกลางลูกหลาน ไม่เคยรู้จักการทุบตี การประหัตประหาร หรือการทำร้ายกันมาก่อน กฎหมายที่มีคือใจเป็นตัวนำในการพิจารณาการกระทำว่า ดี-ชั่ว ควร-ไม่ควร อย่างไร ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติแต่พอควร มิใช่เกินความพอดี ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและเห็นความสำคัญของธรรมชาติในฐานะสิ่งที่เอื้อต่อการมีชีวิตอยู่ หากเราพิจารณาในแง่ “มนุษย์กับความเชื่อ” นั้นคือ การเคารพธรรมชาติ นั่นเอง “ขอบคุณธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์ให้ฉันได้มีชีวิตอยู่ในวันนี้และวันพรุ่งนี้” การขอบคุณเป็นการแสดงอย่างนอบน้อมซึ่งออกมาจากใจที่ขอบคุณจริงๆ ขณะที่มนุษย์เมืองต้องทำงานแข่งกับเวลา [ณ ที่ทำงานซึ่งเป็นสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง] ความรีบร้อน การเอารัดเอาเปรียบ การฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ [การลอบสังหารผู้นำ] ความเครียดกับระบบที่สร้างขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์ การใช้เล่ห์เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ [หลอกให้เชลยบอกความลับ] และมองมนุษย์อื่นเสมือนผู้ต่ำต้อย
ช่างกลาง เป็นการพบกันระหว่างตัวแทนจากกลุ่มคนป่าผู้นำเอาวัตถุแห่งความชั่วร้ายไปทิ้งที่ขอบโลก หากแต่วิถีชีวิตโดยปกติของเขาได้กลายเป็น “ความชั่วร้าย” ของมนุษย์เมือง เขาถูกยิง ถูกจับ ถูกไต่สวนและถูกตัดสินให้ถูกจองจำด้วยความชอบธรรมทางกฎหมายและกระบวนการทางการเมืองของคนเมือง
ช่วงท้าย ตัวแทนของคนป่ายังไม่ลดละความพยายาม เขาได้พบกับขอบโลก......
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าพิจารณาคือ “ความชั่วร้ายมาจากไหน ใครเป็นผู้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมา” ซึ่งเราจะได้พิจารณาต่อไป
ทัศนะบางประการเกี่ยวกับความชั่วร้าย
เมื่อพิจารณาความชั่วร้าย เราอาจพิจารณาได้ใน ๒ ลักษณะคือ ความชั่วร้ายทางธรรมชาติ หรือ ภัยธรรมชาติ และความชั่วร้ายของมนุษย์
ความชั่วร้ายดังกล่าว ในแง่มุมศาสนาเทวนิยม อย่างศาสนาโซโรอัสเตอร์ มองว่า ความชั่วร้ายเป็นสิ่งคู่ขนานกับความไม่ชั่วร้าย โดยตัวแทนแห่งความชั่วร้ายได้แก่เทพเจ้า อหริมัน (Ahariman) ส่วนเทพที่เป็นตัวแทนแห่งความดีหรือความไม่ชั่วร้ายได้แก่ อหุรมาสดา (Ahura Masda) ส่วนศาสนาประเภทเอกเทวนิยม จากคุณสมบัติของพระเจ้าที่ว่า เจ้าพระเจ้ามีอยู่และทรงสรรพฤทธิ์ พระเจ้ารู้ทั่วและทรงความดีสูงสุด พระเจ้าคือความสมบูรณ์และพระเจ้าสร้างสรรพสิ่ง ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะสร้างความชั่วร้าย ดูเหมือนเมื่อประเมินโดยทั่วไป กลุ่มนี้จะปฏิเสธความชั่วร้ายที่เกิดจากการสร้างของพระเจ้า โดยมองว่า ความชั่วร้ายทางธรรมชาติ เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ส่วนความชั่วร้ายของมนุษย์ เกิดจากเจตจำนงเสรีของมนุษย์ ที่พระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์แล้ว
อย่างไรก็ตาม จากคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะสร้างความชั่วร้าย
หากคำตอบคือ (๑) เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะสร้างความชั่วร้าย ข้อพิจารณาคือ ถ้าพระเจ้าคือความสมบูรณ์หนึ่งเดียว คือความดีสูงสุด ความชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ คำตอบที่ตามมาคือ พระเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งไม่สมบูรณ์และความชั่วร้ายก็ไม่ใช่ความดี ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ความชั่วร้ายคือสิ่งสมบูรณ์และเป็นความดี
หากคำตอบคือ (๒) เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะสร้างความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าคือผู้รู้แจ้ง ทรงสรรพฤทธิ์ พระองค์ย่อมรู้โดยตัวของพระองค์เองถึงเจตจำนงที่พระองค์ได้สร้าง ดังนั้น ความชั่วร้ายเป็นความดีและเป็นสิ่งสมบูรณ์ที่ซ่อนเหตุผลทางจริยธรรม
หากคำตอบคือ (๓) เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะสร้างความชั่วร้าย เพราะความชั่วร้ายไม่ใช่ความดี ความไม่ดีไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ ดังนั้น ความชั่วร้ายจึงไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์ และพระเจ้าไม่สร้างสิ่งไม่สมบูรณ์ แต่ความชั่วร้ายมีอยู่
คำตอบจาก (๑) (๒) และ (๓) อาจลงที่ว่า พระเจ้าสร้างสิ่งสมบูรณ์ และสิ่งสมบูรณ์นั้นคือความดี ความชั่วร้ายเป็นสิ่งสมบูรณ์และเป็นความดี
โดยประสบการณ์พื้นๆ และความรู้สึกที่มีต่อพระเจ้าซึ่งมีคุณสมบัติข้างต้น ค่อนข้างจะขัดแย้งต่อความรู้สึก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าคือความดีสูงสุด จะสร้างสิ่งชั่วร้าย หรือเป็นไปไม่ได้ที่คนดีบริสุทธิ์และบริบูรณ์จะทำสิ่งไม่ดี นอกจากนั้น ความชั่วร้ายจะเป็นความดีได้อย่างไร หรือ ความชั่วร้ายจะเป็นสิ่งสมบูรณ์ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นักคิดจำนวนหนึ่งมองว่า ความชั่วร้ายเกิดจากการกระทำตามเจตจำนงเสรีของมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วร้าย ดังนั้น พระเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบต่อความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ถ้าอย่างนั้น ความชั่วร้ายที่เป็นภัยธรรมชาติเกิดจากสิ่งใด บางกลุ่มมองว่าการกระทำของมนุษย์ไม่ใช่คำตอบสำหรับการเกิดภัยธรรมชาติ และมองว่า ภัยธรรมชาติเกิดจากสภาวะในตัวของธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้า จึงมีข้อโต้แย้งว่า ความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่มีอยู่ ถ้าพระเจ้ามีสรรพฤทธิ์ ทรงไว้ซึ่งความดีสูงสุด ทำไมพระองค์จึงปล่อยให้ความชั่วร้ายมีอยู่ และมีคำตอบที่สรุปสิ้นสุดของที่พระเจ้าว่า พระเจ้ามีอยู่ และพระองค์มีเหตุผลที่เพียงพอทางศีลธรรมในการยอมให้มีความชั่วร้าย
ข้อที่น่าพิจารณาเพิ่มเติมคือ ศาสนาเอกเทวนิยมมองว่า พระเจ้าสร้างกฎสภาวการณ์ ซึ่งน่าจะหมายถึง กฎความเป็นไปของสรรพสิ่ง มนุษย์คือหนึ่งในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง มนุษย์ต้องเดินตามกฎนั้นด้วย แต่พระองค์ได้มอบเจตจำนงเสรีให้มนุษย์มีสิทธิ์ที่เลือกกระทำได้อย่างอิสระ ส่วนสรรพสิ่งก็เป็นไปตามกฎที่พระองค์ได้สร้างและปล่อยวางให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ดังนั้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่
ก. พระเจ้าสร้างสิ่งสมบูรณ์คือความดี และความชั่วร้ายคือสิ่งสมบูรณ์และเป็นความดี
ข. พระเจ้าสร้างมนุษย์ มนุษย์เลือกที่จะเดินบนความชั่วร้ายอันเป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์และมีความดีในตัวของความชั่วร้าย ความดีในความหมายนี้คือ กฎสภาวะของความชั่วร้าย ซึ่งจะต้องพบอะไรบางอย่างของเส้นทางความชั่วร้ายนั้น อาจเรียกกฎนี้ว่า คุณสมบัติของความชั่วร้ายก็ได้
ค. ความชั่วร้ายคือภัยธรรมชาติ ก็เกิดจากคุณสมบัติหรือกฎในตัวของธรรมชาติ ขณะเดียวกัน กฎของความชั่วร้ายซึ่งเป็นผลจากการเลือกกระทำของมนุษย์ก็มีผลต่อความชั่วร้ายทางธรรมชาติได้ โดยมนุษย์มิอาจหยั่งรู้ถึงความอิสระของกฎที่ว่านี้ได้ ซึ่งก็คือ ความดีโดยสภาวะและความสมบูรณ์ของสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง
ส่วนศาสนาอเทวนิยมมองว่า ความชั่วร้ายมิได้เกิดจากพระเจ้าที่เป็นตัวตน ไม่ได้เกิดจากฟ้าดินเป็นผู้กำหนด หากแต่ความชั่วร้ายของมนุษย์เกิดจากมนุษย์ ความชั่วร้ายของธรรมชาติเกิดจากธรรมชาติ มนุษย์คือหน่วยหนึ่งของธรรมชาติ ความชั่วร้ายของธรรมชาติจึงมีผลต่อมนุษย์และมนุษย์ก็มีผลต่อธรรมชาติเช่นกัน นอกจากนั้นธรรมชาติก็มีกฎของธรรมชาติ
ความชั่วร้ายที่ปรากฏจาก THE GODS MUST BE CRAZY
เพื่อพิจารณาจาก THE GODS MUST BE CRAZY เราจะเห็นความชั่วร้ายใน ๒ ส่วนคือ
ก. ความชั่วร้ายอันเกิดจากธรรมชาติแวดล้อม
ข. ความชั่วร้ายอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์
ความชั่วร้ายทั้ง ๒ ประการมีความสัมพันธ์กัน ในฐานะ ความชั่วร้ายของธรรมชาติแวดล้อมคือปรากฏการณ์ทั่วไปของธรรมชาติ ความชั่วร้ายของมนุษย์คือปรากฏการณ์ของมนุษย์ มนุษย์คือธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ความชั่วร้ายที่ว่านี้ จะมองว่าเป็นสิ่งสมบูรณ์และเป็นความดีได้หรือไม่
ก. ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแวดล้อม
ทะเลทรายคาลาฮารี เป็นทะเลทรายที่ไม่อุ้มน้ำ ส่งผลต่อความสามารถในการปรับตัวของสัตว์ ซึ่งแยกเป็นมนุษย์และสัตว์ทั่วไป สัตว์ที่เลือกการไม่ปรับตัวก็เดินไปตามกฎของการไม่ปรับตัวคือล้มหลายตายจากไปหรือแปรสภาพเป็นสัตว์อื่น สัตว์ที่ปรับตัวที่เลือกการอพยพ จะพบแห่งอาหารใหม่หรือไม่พบก็ได้ ส่วนผู้ไม่อพยพก็หาวิธีการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติที่แห้งแล้ง และอาหารที่หาได้ยากเต็มที
ข. วัตถุแห่งความชั่วร้าย
วัตถุแห่งความชั่วร้าย แบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือ วัตถุนั้นเกิดขึ้นจากธรรมชาติแวดล้อมซึ่งไม่ใช่มนุษย์ เช่น ยางไม้บางชนิดที่มีผลต่อร่างกายของสัตว์ และวัตถุที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ เช่น ขวดโค้ก ซึ่งเมื่อเป่าลมเข้าไป ส่งผลเป็นเสียงดนตรีที่น่าฟัง แต่เมื่อกระทบกับสิ่งอื่นก็มีคุณสมบัติเป็นอื่น
วัตถุแห่งความชั่วร้าย โดยตัวของมันเองมันไม่ได้ชั่วร้าย หากมองว่าความชั่วร้ายคือการแย่งชิง ความเจ็บจากวัตถุกระทบต่อร่างกาย ความชั่วร้ายเกิดจากการะทำของมนุษย์ที่นำเอาวัตถุไปสนองความต้องการ ก็คือการเรียนรู้ที่เกิดจากวัตถุนั้น
ค. ความรู้สึกแห่งความชั่วร้าย
ศาสนาเอกเทวนิยม มองว่า พระเจ้าให้เจตจำนงเสรีกับมนุษย์ มนุษย์จึงมีสิทธิ์เลือกในทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการจะเลือก เหตุผลที่มนุษย์คิดขึ้น มนุษย์มีอิสระที่จะคิดอย่างมีเหตุผล ความรู้สึกแห่งความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่มนุษย์เลือกแล้วเช่นกัน มนุษย์เลือกที่จะใช้แร่ธาตุจากธรรมชาติแวดล้อมมาผสมกันเป็นปืน มีสลักและเหนี่ยวไกออกไปเป็นลูกกระสุนวิ่งชนทะลุเนื้อหนังของคน คนถูกแร่ธาตุทีมีการผสมแล้วเป็นกระสุนแทรกเข้าไปในร่าง ร่างที่มีช่องส่งให้เลือดไหล เลือดที่ไหลจากร่างกาย ส่งให้ชีวิตค่อยๆอ่อนแอและหลับใหลไปในที่สุด
ความรู้สึกแห่งความชั่วร้ายนี้ คือสิ่งสมบูรณ์ของสภาวะแห่งความเป็นไป แต่ในทัศนะของ อเทวนิยม สิ่งนั้นคือกฎสภาวะของธรรมชาติ ที่มันจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ต้องมีต้องเป็น
ดังนั้น ความชั่วร้ายในภาษามนุษย์ที่กล่าวขานกันอาจไม่ใช่ความชั่วร้ายก็ได้ หากแต่เป็นความดีสมบูรณ์ เป็นความดีในฐานะยืนยันกฎธรรมชาติ ในคำว่า “เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง” ความขมขื่น อาจเป็น ความดีสมบูรณ์ของกฎ ก็เมื่อมนุษย์เลือกที่จะเอาใจไปพัวพันกับสิ่งไม่สมหวัง มนุษย์จึงได้รับความขมขื่น เหมือนขอบโลกที่นิเชาค้นพบ อาจไม่ใช่ขอบโลกที่นิเชาประสบ หากแต่เป็น ความไม่มีขอบโลกก็เป็นได้ ปรากฏการณ์บางลักษณะของมนุษย์ ๒ กลุ่มคือ กลุ่มคนป่าและกลุ่มคนเมือง มันอาจเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์เข้าใจว่าความชั่วร้ายหรือความไม่ชั่วร้ายหรือไม่และมนุษย์ยังไม่อาจเข้าถึงความรู้ที่เป็นกฎธรรมชาติหรือไม่
ไม่มีความเห็น