ณ วันที่หนูรู้สึกเหนื่อยและท้อ อยากจะเลิกทำตามวัตรปฏิบัติของตนเอง หนูสาดความทุกข์ไปที่ครูแล้วบอกกับท่านว่า
“หนูเข้าไม่ถึงครู บอกไม่ถูกค่ะ เรานั่งเข่าแทบชนกันแต่ว่า เหมือนหนูไม่เคยรู้จักครูจริง ๆ เลย”
ที่ผ่านมาแม้หนูจะรู้สึกท้อ หรือ รู้สึกเหนื่อย แทบคลาน (อาการในใจเป็นแบบนี้จริง ๆค่ะ) มาเขียนบันทึกใน G2K ตอบบันทึกคนที่ครูท่านมอบหมาย อ่านบันทึกของคนที่ครูชี้แนะให้อ่าน มันเป็นการทำของหนูแบบขอไปที ทำแบบแกน ๆ เขียนบันทึกก็ สะเปะ สะปะ ไม่มีสาระ เขียนฟุ้ง ๆ ไม่ได้เป็นสิ่งที่มาจากบทเรียนในชีวิตตนเอง เขียนจากการอ่านมาบ้าง จากการจินตนาการเอาบ้าง เขียนไปนาน ๆ ก็ รู้สึกท้อเอง เวลาไปวิ่งออกกำลังกาย ก็วิ่งไป งั้น ๆ แต่ใจฟุ้งไปไหนต่อไหน ไม่จดจ่อ วิ่งไป ก็ เพ่งโทษครูไป ว่าไม่รู้จะให้วิ่งทำไม วิ่งไปก็เหนื่อย เสียเวลา หนักเข้า หนักเข้า เป็นทำไปโกรธไป ครูโทรมาก็ โกรธกระฟัดกระเฟียด เป็นอาการคุยไม่รู้เรื่อง ไม่มีสติ จนครูท่านเอ่ยกับหนูว่า
“พี่รู้สึกเสียใจนะติ๋ว เสียใจและผิดหวัง พี่ไม่มีคนมาคอยบอกอย่างนี้ แต่เราไม่เคยเห็นคุณค่าในสิ่งที่พี่ทำกับเราเลย ทำไมพี่จะไม่รู้ว่าเราเหนื่อย”
พอหนูฟังคำพูดของครูประโยคนี้หนูอึ้ง เพราะหนูคิดมาตลอดเวลาว่า
“ครูไม่เคยเข้าใจหนูหรอก มันเหนื่อย มันท้อ มันไม่อยากทำ มันเป็นยังไง ก็เพราะครูรู้ ครู เก่ง แต่หนูมันไม่ได้เรื่อง”
แต่พอได้ยินที่ครูบอกว่า
“ทำไมพี่ไม่รู้ว่าเราเหนื่อย เราท้อ ถ้าพี่ไม่รู้ พี่ไม่อดทนช่วยเหลือเราขนาดนี้ เพราะพี่รู้ว่า เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ เราจะเจออะไรบ้าง การที่เราหันไปรอบด้านไม่เจอใครเลย มันเป็นยังไง”
ฟังถึงประโยคนี้ น้ำตาหนูไหลพราก เพราะรู้สึกว่า ชีวิตตอนนี้เหลือคนที่คุยกับเรารู้เรื่องและเข้าใจกันจริง ๆ อยู่ไม่กี่คน
“ทำไมพี่ต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้ เพราะพี่ก้าวผ่านมาแล้ว เรารู้ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน ยิ่งก้าวเดิน ยิ่งเหนื่อย เราถึงต้องสร้างกำลังใจตนเองให้ได้ จะต้องเดินผ่านความอ้างว้างมาให้ได้ ต้องอดทนต่อความที่คนอื่นไม่เข้าใจ อดทนต่อคนที่เราช่วยเหลือ”
“ติ๋วไม่ใช่คนแรกที่มาว่าพี่ แต่เราให้อภัยเสมอ เพราะรู้ว่าเขาไม่รู้ มันเหมือนคนไม่ใช้ปัญญาแต่เรามองไกลกว่านั้น ทำอย่างไร จึงจะผ่อนหนักให้เป็นเบา”
หนูนิ่งฟัง เริ่มมีสติมากขึ้น แต่ก๋ยังจ๋อยอยู่
“ติ๋วจะต้องเจอ ปล่อยให้ไปเจอเลยก็ได้ แต่พี่ก็ไม่ปล่อย ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ผ่อนหนักให้เป็นเบา"
กราบขอบพระคุณครูมาก ๆ ค่ะ
ไม่มีความเห็น