จะเป็นใครก็ย่อมหวั่นไหว ในคราวเจ็บป่วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากเป็นตัวเอง ใจจะคงแข็งแรงได้เพียงใด
ผมเคยตั้งคำถามแบบนี้มาก่อนหน้านี้เหมือนกัน ด้วยก่อนหน้านี้ 3 ปีเห็นจะได้ น้าสาว(น้องของแม่) ตรวจพบมะเร็งรังไข่ หลังจากผ่าตัดก้อนเนื้อ ตอนนั้นญาติๆ รวมทั้งผมเอง ต่างก็คิดกันไปเองก่อนว่ามันจะต้องแย่มากๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด
น้าสาวของผม เป็นคนที่มีกำลังใจดีมาก พูดคุยกันทีไร ก็จะพูดเสมอว่า "นี่คือบททดสอบจากอัลเลาะห์ (ซ.บ.)" แถมยังมีการตีความเองอีกว่า "คนที่ถูกทดสอบในโลกนี้ก่อน ก็จะได้รับการชดเชยในโลกหน้าจากพระองค์ เพราะไม่มีมนุษย์หน้าไหนทีไม่ดับร่วงไป"
แม่ผมก็จะเปรยอยู่เสมอว่า "เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันไม่ใช่งานการของมนุษย์ที่จะหยั่งรู้ได้ แต่ถ้าวันใดเกิดกับตัวเองขึ้นมา ถือว่าเป็นความประสงค์ของพระองค์ และจะน้อมรับการทดสอบนั้นจากพระองค์ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร"
น้าสาวผมคนนี้ ผ่านการให้เคมีบำบัดมาสองครั้ง (ครั้งหนึ่งก็หลายเดือน) ชีวิตตอนนี้เปลี่ยนไปมากจากเดิมที่กินอาหารแบบตามใจปาก วันนี้พิถีพิถันกับอาหารการกิน จากชีวิตที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ฝึกฝนตนเองให้มีวินัยในการออกกำลังกาย และเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตไปอีกหลายๆ เรื่อง
ผมมานั่งตรึกตรองดู เห็นข้อดีว่า ในช่วงชีวิตคนเรายามปกติ เราไม่ค่อยประณีตกับการใช้ชีวิต เรามักจะมีข้ออ้างต่างๆนานาให้กับตัวเอง แต่เวลาชีวิตต้องเจอมรสุมจริงๆ อย่างที่น้าผมเจอ ทำให้การมองเรื่องชีวิตประจำวันแบบละเอียดอ่อนมากขึ้น ใช้ชีวิตในจังหวะที่ช้าลง แต่ลุ่มลึกในแต่ละก้าว เห็นคุณค่าของชีวิตเล็กๆน้อยๆ มากขึ้น ชีวิตของน้าก็มีความสุขไปในจังหวะสโลว์โมชั่น แต่เราเหล่าคนที่ลุ่มหลงกับจังหวะเร็วของชีวิตกันอยู่ ก็อดไม่ได้เผลอไปคิดแทนน้าว่าชีวิตคงจะทุกข์ เพราะเราคิดบนฐานจังหวะของเรา
หากกายป่วย แลใจป่วย มันคงจะทรมานน่าดู
แต่ถ้ากายป่วย แต่ใจฮึดสู้ มันคงต้องพิสูจน์กันดูให้รู้ซักตั้ง
สวัสดีค่ะ
มาส่งกำลังใจให้ด้วยอีกคนครับ....